Categories
อาหารนานาชาติ

แซนวิชเมนูอิ่มท้องยอดฮิต รองท้องอิ่มอร่อยตลอดวัน

ปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่มีไลฟ์สไตล์ที่เร่งด่วนเร่งรีบ ใช้เวลาส่วนใหญ่กับการทำงาน ไม่มีเวลาทำอาหารรับประทานเอง อาหารที่สามารถรับประทานง่าย อิ่มท้อง รสชาติอร่อย มีประโยชน์ต่อร่างกายจึงเป็นอาหารที่คนปรารถนา และต้องการ สำหรับประเทศไทยนั้นมีอาหารที่สามารถรับประทานแล้วอิ่มท้องมีมากมายหลายเมนู อาทิ น้ำเต้าหู้ ข้าวไข่ดาว ข้าวเหนียวหมูปิ้ง อาหารตามสั่ง ขนมปัง 

และโดยเฉพาะเมนูแซนวิชนั้น เป็นเมนูอาหารยอดฮิตยอดนิยม ที่มีต้นกำเนิดมาจากชาติตะวันตก เป็นเมนูหนึ่งที่คนโปราดปราณของคนไทยมมากอย่างช้านาน ช่วงเวลาที่นิยมรับประทานมากที่สุดคือมื้อเช้า เพราะรสชาติอร่อย รับประทานง่าย สารอาหารครบถ้วน รับประทานแล้วอิ่มท้องหลายชั่วโมง รับประทานได้ทุกเพศทุกวัย สำหรับประเทศไทยนั้นสามารถหาซื้อแซนวิชได้ทั่วไป หรือจะทำเองก็สามารถทำได้ง่าย ใช้เวลาไม่นาน เรียกได้ว่าเป็นเมนูอาหาร

ขอบคุณภาพจาก unsplash

แซนวิชชีสไข่ฟู เมนูที่ทำง่าย อร่อยจนหยุดไม่ได้ 

สำหรับแซนวิชชีสไข่ฟูนั้น เป็นแซนวิชที่ใครได้ลองรับประทานแล้วจะต้องติดใจในรสชาติของวัตถุดิบที่เข้มข้น รสชาติเข้มข้นถึงเครื่อง อีกทั้งเป็นเมนูที่ครบถ้วนสารอาหารทั้ง ทำง่าย ใช้เวลาไม่นาน เริ่มจากการเตรียมวัตถุดิบตามปริมาณที่ต้องการ ได้แก่ขนมปัง ไข่ไก่ เนยสด พริกไทยป่น ชีสแผ่น มะเขือเทศ เบคอน แฮม ผักชี 

โดยเริ่มต้นทำแซนวิชโดยการ วางชีสแผ่น แฮม สลับชั้นกับขนมปังแผ่น จากนั้นวางชีสด้านบนอีกหนึ่งครั้ง ตั้งกระทะแล้วใส่เนยสด จากนั้นนำลงไปนาบกับกระทะเทปล่อน ไฟอ่อน จนสุกทั้งสองด้าน ตักขึ้นพักไว้ 

จากนั้นทำในส่วนของไข่ฟุ ด้วยการตอกไข่ไก่ลงบนกระทะ คนจนไข่ฟู สุดท้ายตั้งกระทะอีกรอบรวนเบคอน พร้อมจี่มะเขือเทสให้สุกกำลังดี ตัดขนมปังให้เป็นแซนวิชสามเหลี่ยม แล้วเสิร์ฟขนมปังชีส ไข่ฟูโรยด้วยพริกไทย ผักชีซอย พร้อมเบคอนกรอบ ตามด้วยมะเขือเทศจี่เพิ่มความสดชื่นลงตัว 

ขอบคุณภาพจาก unsplash

ทำเมนูแซนวิชปูอัดทอดแบบง่าย ๆ 

สำหรับแซนวิชนั้นเป็นเมนูที่สามารถดัดแปลงทำได้หลากหลาย ทั้งจี่ ทั้งนาบ และโดยเฉพาะวิธีการทอด สำหรับการทอดนั้นก็เป็นวิธีทำแซนวิชอีกวิธีหนึ่งที่ง่าย เพิ่มความละมุนด้วยการใส่ไส้ปูอัดจะได้แซนวิชปูอัด ให้รสชาติอร่อย และเข้ากันที่สุด วิธีการทำนั้นง่ายมาก เพียงแค่ผสมเนื้อปูอัดกับมายองเนส จากนั้นนำมาป้ายที่ขนมปัง แล้วชุบไข่ ตามด้วยเกล็ดขนมปัง นำลงทอดในน้ำมันร้อน นำมาพักจนอุ่น ตัดแซนวิชให้พอดีคำ เพียงเท่านี้ก็จะได้แซนวิชปูอัดทอดรับประทานอิ่มท้องในช่วงเวลาเร่งด่วนแล้ว 

ขอบคุณภาพจาก unsplash

Categories
อาหารนานาชาติ

สเต็กเนื้อ เมนูยอดฮิตของคนอยากเสริมกล้ามเนื้อ

สำหรับอาหารนานาชาติเมนู สเต็ก เป็นอาหารที่คนไทยมีความนิยมกันมากพอสมควร โดยเฉพาะคนที่ต้องการเสริมโปรตีนให้ร่างก่าย สร้างกล้ามเนื้อที่สวยงาม โดยสเต็กมีต้นกำเนิดจากประเทศฝรั่งเศสแพร่ขยายเข้าสู่ประเทศไทยเป็นระยะเวลานานจนถึงปัจจุบัน เป็นอาหารที่จัดได้ว่าถูกปากคนไทย และที่สำคัญเป็นแหล่งพลังงานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากทีเดียว 

สำหรับเมนูสเต็กสามารถนำเนื้อสัตว์แทบทุกประเภทมาทำได้ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู เนื้อปลา เนื้อแกะ และเนื้อวัวเป็นเนื้อสัตว์ที่นิยมนำมาทำสเต็กกันมากเลยทีเดียว โดยเมนูสเต็กนั้นมีวัตถุดิบในการทำที่หาไม่ยาก แต่ความยากของเมนูนี้คือการย่างเนื้อสเต็กให้ออกมาตรงตามความต้องการนั่นเอง 

ขอบคุณภาพจาก unsplash

สเต็กเนื้อ เตรียมวัตถุดิบดังนี้ 

1.เนื้อวัว สำหรับส่วนของเนื้อวัวที่อร่อย และนิยมนำมาทำสเต็ก ได้แก่ เนื้อสันนอก เนื้อสันใน และเนื้อใกล้บริเวณซีกโครง(เตรียมเนื้อส่วนที่ต้องการประมาณ 500 กรัม จะได้เต็กเนื้อสำหรับรับประทาน 2 จานใหญ่ )

2.กระเทียมหัวใหญ่ 3 กลีบ

3.พริกไทยดำ 2 ช้อนชา

4.เกลือป่น 1 ช้อนชา

5.น้ำมันมะพร้าวสำหรับทำอาหาร 1 ช้อนโต๊ะ 

6.เนยสด 2 ช้อนโต๊ะ 

7.ใบโรสแมรี่ (ใส่ตามชอบ) 

ขอบคุณภาพจาก unsplash

ขั้นตอนในการย่างสเต็กตามระดับความสุก 3 แบบ 

1.สเต็กเนื้อแบบเนื้อสุกนิดหน่อย เริ่มจากการตั้งกระทะ ใส่น้ำมัน เปิดไฟแรง จากนั้นนำเนื้อสเต็กลงไปย่าง โดยเน้นส่วนที่เป็นมันเนื้อก่อน จากนั้นจับเวลาในการย่างด้านละไม่เกิน 1 นาที ระหว่างที่กำลังย่างเนื้ออยู่นั้น ให้เพิ่มความหอมโดยการใส่กระเทียม ใบโรสแมรี่ เมื่อเนื้อใกล้ได้ที่ใส่เนยสดลงไปเพิ่มความหอม และช่วยให้เนื้อไม่กระด้าง จากนั้นตักเนื้อข้นพักไว้ในจานสักพัก แล้วจึงหั่นเป็นชิ้น

2.สเต็กเนื้อแบบเนื้อสุกพอดี โดยวิธีการย่างนั้นทำทุกขั้นตอนเหมือนกับการย่างเนื้อแบบไม่สุกมาก แตกต่างกันตรงที่เพิ่มเวลาในการย่างเนื้อด้านละ 3 นาทีเท่านั้น เนื้อที่ได้จะสุกนุ่มหวานถูกใจสาวกสายเนื้ออย่างมาก 

3.สเต็กเนื้อแบบเนื้อสุกมาก วิธีทำเหมือนกับการย่างเนื้อสุกเล็กน้อยกับสุกปานกลาง เพียงแค่เพิ่มเวลาเป็นการย่างด้านละ 5 นาทีเท่านั้น เนื้อวัวที่ได้จะสุกพอดี เหมาะสำหรับคนที่ไม่คุ้นชินกับการรับประทานเนื้อวัวไม่สุก(สามารถใช้เนื้อสัตว์อื่น ๆ ทำได้ อาทิ ใช้เนื้อปลา เนื้อไก่ จะได้เมนูสเต็กไก่ สเต็กปลา เช่นกัน 

ขอบคุณภาพจาก unsplash

เคล็ดลับ ในการทำสเต็กเนื้อให้อร่อย 

ไม่ควรหั่นเนื้อหนาจนเกินไป จะทำให้การย่างเนื้อนั้นคลาดเคลื่อนตามความต้องการ หั่นขนาดไม่เกิน 2 ซม.

ปรับไฟแรงในช่วงแรกของการย่างเนื้อ จากนั้นจะหรี่ไฟให้อยู่ระดับกลาง 

จับเวลาในการย่างตามระดับความสุกของเนื้อตามต้องการ จะได้เนื้อนุ่มอร่อย ไม่กระด้าง 

Categories
อาหารไทย

แกงส้ม ผัก เมนูกับข้าวที่ทุกบ้านคุ้นชิน

คนไทยรับประทานข้าวสวยเป็นอาหารหลักทั้ง 3 มื้อ โดยจะรับประทานข้าวสวยกับกับข้าวหลากหลายประเภท ทั้งประเภทผัด ต้ม ทอด ปิ้งย่าง แกงกะทิ แกงส้ม น้ำพริก เครื่องเคียงต่าง ๆ แล้วแต่ว่าอยากจะรับประทานอะไรในแต่ละมื้อ

แม้ว่ากับข้าวอาหารไทยนั้นมีมากมายหลายอย่างก็จริง แต่กับข้าวที่รับประทานเป็นประจำบ่อย ๆ จะมีไม่กี่อย่าง อาทิน้ำพริก ผัดผัก ต้มจืด แกงเผ็ด ผัดเผ็ด และโดยเฉพาะเมนู แกงส้ม นั้นเป็นเมนูคนไทยนิยมทำรับประทานบ่อยมาก เพราะรสชาติแซ่บเปรี้ยวเผ็ด ทำง่ายไม่ยุ่งยาก รับประทานคู่กับไข่เจียวทอด ปลาเค็มทอด หมูทอด นิยมรับประทานแกงส้มกับข้าวสวยร้อน ๆ

ขอบคุณภาพจาก pixabay

วัตถุดิบเมนู แกงส้ม ปลาทูย่าง ผักรวมรสเด็ด เมนูคู่บ้านที่ทุกคนติดใจ

1.พริกจินดาแห้ง 30 เม็ด (พริกแห้งต้องสังเกตุให้ดีว่ามีราหรือไม่ ถ้าพริกขึ้นราจะทำให้เครื่อง แกงส้ม มีกลิ่นรา รสชาติเผื่อน)

2.เกลือป่น 2 ช้อนชา

3.หอมแดง 1 หัว

4.กะปิแท้ 1 ช้อนโต๊ะ (เป็นตัวชูรสชาติ ทำแกงส้มให้อร่อย ต้องใส่ห้ามขาด)

5.ปลาทูย่าง 2 ตัว ( ขนาดปานกลาง )

6.มะละกอห่าม 2 ถ้วย (ฝานเป็นชิ้นพอดีคำ)

7.หัวไชเท้า 1 ถ้วยตวง ( หั่นเป็นชิ้น )

8.ดอกแค 2 ถ้วยตวง (คว้านเอาเส้นในออก สาวก แกงส้มดอกแค ชอบมากก็สามารถใส่เยอะได้เลย)

9.ถั่วฝักยาวหั่น 1 ถ้วยตวง

10.น้ำปิ๊บ 1 ช้อนโต๊ะ

11.น้ำมะขาวเปียก 4 ช้อนโต๊ะ

12.น้ำมะนาว 4 ช้อนโต๊ะ

13.น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ

14.โชยุ 1 ช้อนโต๊ะ

15.ผงปรุงรส 1 ช้อนชา

16.น้ำสะอาด 700 – 800 มล.

ขอบคุณภาพจาก pixabay

ขั้นตอน และวิธีการทำเมนูแกงส้มผักรวม

1.ใส่พริกแห้งจินดา เกลือ หอมแดง ลงในครกตำให้ละเอียด ถ้าเครื่องแกงแห้งให้ใส่น้ำนิดหน่อย (สำหรับแกงส้ม การตำเครื่องแกงด้วยครกจะให้รสชาติของเครื่อง แกงส้ม ได้ดีกว่าการนำเครื่องแกงไปปั่น)

2.เมื่อตำละเอียดแล้วให้ใส่กะปิแท้ลงไปทีหลัง จากนั้นแกะเนื้อปลาทูย่างลงไปตำพอแหลก

3.จากนั้นใส่น้ำสะอาดในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟ เปิดไฟระดับปานกลาง รอจนน้ำเดือดใส่เครื่องแกงส้มลงไป

4.ใส่เครื่องปรุงรสน้ำปลา น้ำมะนาว น้ำมะขามเปียก น้ำตาล โชยุ และผงปรุงรสลงไป คนจนทุกอย่างลพลาย ชิมรสตามความชอบ (โดยส่วนใหญ่แล้วแกงส้มจะปรุงรสเปรี้ยวนำ หวานตาม)

5.ใส่ผักที่สุกยากก่อน(หลายคนสงสัยว่า แกงส้มใส่ผักอะไร บ้าง สามารถใส่ได้ตามชอบ) ได้แก่หัวไชเท้ากับมะละกอหั่น เมื่อหัวไชเท้า และมะละกอเริ่มสุก ให้ใสถั่วฝักยาวลงไป แล้วจึงตามด้วยดอกแคเป็นผักชนิดสุดท้าย ตักทิ้งไว้อีก 2 – 3 นาที เพียงแค่นี้ก็ยกลงจากเตาได้ เพียงแค่นี้ก็เป็นอันเสร็จ วิธีทำแกงส้มปลา

เสิร์ฟแกงส้มใส่ถ้วย รับประทานกับข้าวสวยร้อน ๆ แกล้มด้วยเครื่องเคียงปลาเค็มทอด ไข่เจียว ไข่ต้ม หรือจะรับประทานกับหมูทอด ทอดมันก็อร่อยจนหยุดไม่อยู่

ขอบคุณภาพจาก pixabay

Categories
อาหารไทย

อาหารจานเดียว อาหารยอดฮิตจานด่วนของคนไทย

วัฒนธรรมการรับประทานอาหารของประเทศไทยนั้น ค่อนข้างจะมีความแตกต่างจากประเทศอื่นอยู่พอสมควรโดยจะไม่เน้นตายตัวว่ามื้อเช้าต้องทานอะไร เมื่อเย็นต้องทานอะไร คนไทยสามารถรับประทานอาหารทุกประเภทได้ในทุกมื้อ และอาหารที่คนไทยนิยมรับประทานกันในแทบทุกวันคืออาหารจานเดียว อีกทั้งยังสามารถรับประทานได้วันละหลายครั้ง 

นิยามของอาหารจานเดียว คืออาหารที่ประกอบไปด้วยโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต เกลือแร่ วิตามิน แร่ธาตุครบในจานเดียว หรือเรียกง่าย ๆ ว่าอิ่มอร่อยได้ภายในจานเดียวนั่นเอง อาทิเมนูข้าวผัด ผัดไทย ผัดเส้นต่าง ๆ เป็นต้น สำหรับอาหารจานเดียวนั้นมีขายทั่วทุกภูมิภาคในประเทศไทย นั่นคือร้านอาหารตามสั่งนั่นเอง 

ขอบคุณภาพจาก pixabay

อาหารจานเดียว วัตถุดิบเมนูข้าวผัดหมูชิ้นใสไข่ 

1.ข้าวสวย 2 ถ้วยตวง (สำหรับอาหารจานเดียว 1-2 จาน)

2.น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ 

3.กระเทียมไทยสับ 1 ช้อนโต๊ะ

4.เนื้อหมูชิ้น 1 ถ้วยตวง

5.ไข่ไก่ 2 ใบ (เบอร์ 2)

6.มะเขือเทศหั่น (ตามชอบ)

7.ต้นหอมซอย 1 ถ้วยตวง

8.น้ำปลา 3 ช้อนชา

9.น้ำตาลทราย 3 ช้อนชา

10.ซีอิ้วขาว 3 ช้อนชา 

11.โชยุ 2 ช้อนชา 

12.น้ำมันหอย 2 ช้อนชา 

13.ผงปรุงรส 2 ช้อนชา (สำหรับ อาหารจานเดียวเพื่อสุขภาพ งดใส่ผงปรุงรส)

14.แตงกวาหั่น 1 ผล (สำหรับแกล้ม)

15.มะนาว 1 ซีก 

อาหารจานเดียวเมนูข้าวผัดหมูชิ้นใสไข่ ทำตามง่าย เพียงทำตามทีละขั้นตอน

1.ตั้งกระทะให้ร้อน ใส่น้ำมันพืชตั้งให้ร้อน ตามด้วยกระเทียมไทยหั่นลงไป เร่งไฟแรงใส่เนื้อหมูชิ้นลงไปผัด (ขั้นตอนนี้ไม่ผัดนาน เนื้อหมูจะแข็ง)

2.ตอกไข่ไก่ใส่ถ้วย 2 ใบ แล้วใส่ลงในกระทะ ค่อย ๆ ผัดจนสุก (เคล็ดลับอาหารจานเดียวข้าวผัดหมูชิ้นใส่ไข่ จะไม่ใส่ไข่ทีหลังเพราะจะเละ)

3.ใส่ข้าวสวยลงไปผัดจนส่วนผสมทุกอย่างเข้ากัน ถ้าข้าวสวยเกาะกันเป็นก้อนให้ใช้ช้อนยีเบา ๆ 

4.ปรุงรสชาติด้วยน้ำมันหอย ผงปรุงรส น้ำปลา ซีอิ้วขาว โชยุ แล้วปิดท้ายด้วยน้ำตาลทราย 

5.ใส่มะเขือเทศลงไปผัดจนทั่ว จากนั้นปิดท้ายด้วยต้นหอมซอยเป็นอย่างสุดท้าย เพียงเท่านี้ก็ได้เมนูอาหารจานเดียวมื้อกลางวันรับประทานในช่วงเวลาเร่งด่วนแล้ว) 

ขอบคุณภาพจาก pixabay

เคล็ดลับในการทำเมนู ข้าวผัดหมูชิ้นใส่ไข่ 

1.ขั้นตอนของการผัดไข่ เคล็ดลับในการผัดไข่ไก่ให้เป็นชิ้น ไม่เละเทะ น่ารับประทาน ให้ทำการแยกผัดไข่ให้สุกก่อน แล้วค่อยนำมาผสมผัดกับข้าวผัดทีหลัง หรือวิธีที่ง่ายกว่าคือผัดไข่ให้สุกก่อน แล้วค่อยใส่ข้าวสวยลงผัดทีหลัง จะทำให้ข้าวผัดไข่นั้น มีเนื้อไข่ไก่เน้น ๆ เต็มปากเต็มคำ 

2..ขั้นตอนการผัดเนื้อหมู ไม่ควรผัดนาน ควรเร่งไฟแรง แล้วใช้เวลาผัดแค่นิดเดียว ให้เนื้อหมูพอสะดุ้งไฟเท่านั้น จะทำให้เนื้อหมูนุ่ม ไม่กระด้างแข็ง 

Categories
เบเกอรี่

เบเกอรี่ เมนูขนมหวานชาติตะวันตก ที่คนไทยโปรดปราณ

สำหรับประเทศที่หลงใหล และชื่นชอบการรับประทานขนมหวานอย่างประเทศไทยนั้น นอกเหนือจากขนมหวานสไตล์ไทย ๆ ที่ชื่นชอบกันอยู่แล้ว รูหรือไม่ว่าคนไทยส่วนใหญ่ แทบจะทุกวัยชื่นชอบการรับประทานขนมประเภทเบเกอรี่อย่างมาก เพราะเป็นขนมที่มีความหวานกำลังดี มีความมันของนม เนย แป้ง 

อีกทั้งยังมีขนมเบเกอรี่มากมายหลายชนิดให้เลือกรับประทาน อาทิ โดนัท ขนมปัง เค้ก คัพเค้ก และอีกมากมายหลายชนิด เรียกได้ว่าเป็นขนมที่ครบองค์ประกอบความถูกใจคนไทยไปเต็ม ๆ เรียกได้ว่าคนไทยนิยมรับประทานเบเกอรี่กันมากมายขนาดนี้ 

ด้วยเหตุนี้เองทำให้การหาซื้อเบเกอรี่ในประเทศไทยนั้นไม่ใช่เรื่องยาก มีทุกสถานที่ไม่ว่าจะเป็นตลาดนัด ร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า สถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ เรียกได้ว่าอยากกินเมื่อไรก็สามารถหาซื้อรับประทานกันได้อย่างทันใจ

ขอบคุณภาพจาก unsplash

เบเกอรี่ง่าย ๆ เตรียมวัตถุดิบสำหรับทำขนมชูครีม สตรอว์เบอร์รี่ 

1.แป้งสาลี 70 กรัม 

2.ไข่ไก่เบอร์ 1 จำนวน 2 ฟอง (ใช้ไข่สดจะช่วยทำให้เบเกอรี่ชูครีมนั้นพองตัวน่ารับประทาน)

3.เนยสด 60 กรัม 

4.เกลือป่น 1 ช้อนชา 

5.น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ 

6.นมสด 60 มิลลิลิตร 

7.สตรอว์เบอร์รี่ 3 ผล (ใส่ได้ปริมาณตามชอบ)

8.วิปปิ้งครีมแบบ Dairy 90 กรัม (แบบ Dairy ตีวิปครีมออกมาแล้วทำให้ เบเกอรี่น่าทาน มากกว่าแบบ Non Dairy )

9.น้ำสะอาด 50 มิลลิลิตร 

ขอบคุณภาพจาก unsplash

ขั้นตอนทำเมนูขนมชูครีม สตรอว์เบอร์รี่ แบบง่าย ๆ 

1.ขั้นตอนแรกของการทำเมนูเบเกอรี่ ชูครีม สตรอว์เบอร์รี่ เริ่มจากการใส่นมสด น้ำสะอาด เกลือป่น ผสมกัน เเล้วนำขึ้นตั้งไฟระดับอ่อน ค่อย ๆ เคี่ยวจนส่วนผสมเข้ากัน

2.ทยอยร่อนแป้งสาลีใส่ทีละน้อยจนหมด ค่อย ๆ คนให้ส่วนผสมทุกอย่างเข้ากัน เมนูนี้เหมาะมากสำหรับเป็นเมนุฝึกทำเป็น เมนูเบเกอรี่มือใหม่ 

3.ตีไข่ไก่ลงในเครื่องตีไข่ ใช้ความแรงระดับ 2 จนไข่มีความฟู จากนั้นค่อย ๆ ทยอยใส่ไข่ไก่ลงในส่วนผสมที่ละส่วน เพราะถ้าใส่ไข่ไก่ลงไปทีเดียวจะทำให้เละ คนไม่ทันทำให้ไข่ไก่สุกได้ 

4.เมื่อส่วนผสมทุกอย่างเนียนเข้ากันเป็นเนื้อเดียวกัน ให้ใช้เครื่องตีไข่แบบมือตีด้านออกอีกจนกว่าเนื้อครีมต้องเนียนได้ที่ ตีจนกว่าเนื้อแป้งจะไม่ขาดเป็นริ้ว ๆ 

5.เมื่อแป้งได้ที่แล้วให้ใส่ถุงบีบ โดยใส่หัวบีบตามความสะดวกได้เลย (สามารถใส่หัวแบบดอกไม้ได้) 

6.นำเข้าตู้อบ อบด้วยไฟบน พัดลม อุณหภูมิ 190 – 200 องศาเซลเซียส ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนาดของก้อนขนมด้วย ใช้เวลาอบ 30 – 40 นาที 

7.ตีวิปปิ้งครีม Dairy กับเครื่องตีไข่จนตั้งยอด ตักวิปปิ้งครีมใส่หัวบีบเตรียมบีบ 

8.ขั้นตอนสุดท้ายคือการประกอบร่างแป้งชูที่อบเสร็จแล้ว บีบวิปปิ้งครีม และผลสตรอว์เบอร์รี่ เพียงเท่านี้ก็ได้เมนูเบเกอรี่แสนอร่อยไว้รับประทานกันแล้ว 

ขอบคุณภาพจาก pixabay

Categories
เบเกอรี่

ช็อกโกแลต เสน่ห์ความอร่อยครองใจคนทั้งโลก

เมื่อพูดถึงเรื่องอาหาร เรื่องขนม ประเทศไทยเป็นประเทศที่ผู้คนชอบรับประทานของหวานกันมากพอสมควร นอกจากขนมไทยโบราณแล้ว ขนมจากชาติตะวันตกที่คนไทยนิยมชมชอบรับประทานกันอย่างมากเลย อันดับต้น ๆ นั้นคือขนมช็อกโกแลต 

ไม่เพียงแต่เด็ก เท่านั้นที่ชอบรับประทาน แต่คนทุกเพศทุกวัยชอบรับประทานขนมชนิดนี้ ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย วัยหนุ่ม วัยสาว หรือแม้กระทั่งวัยสุงอายุ เรียกได้ว่าเป็นขนมที่มีรสชาติหวาน ผสานกลิ่นช็อกโกแลต กินแล้วช่วยให้สดชื่น อารมณ์นี้ 

และความมหัศจรรย์ของขนมชนิดนี้ไม่เพียงแต่ครองใจคนไทยเท่านั้น ยังครองใจคนทั้งโลกอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นขนมที่ทรงอิทธิพลอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ ทั้งนี้ช็อกโกแลตนั้นยังสามารถดัดแปลงทำเมนูขนมต่าง ๆ ได้มากมายมหาศาล ยิ่งมีไอเดียมาก ก็มีขนมช็อกโกแลตที่สร้างสรรค์น่าสนใจมาก 

ขอบคุณภาพจาก unsplash

ช็อกโกแลตลาวา สตรอว์เบอร์รี่วัตถุดิบเพียงไม่กี่อย่างก็สามารถทำได้ 

1.เนยสด 60 กรัม (สำหรับเมนูช็อกโกแลตลาวาสามารถใรสจืด หรือเค็มก็ได้) 

2.ช็อกโกแลต 70 กรัม (สามารถใช้ช็อกโกแลตยี้ห้ออะไรก็ได้)

3.แป้งสาลี 20 กรัม

4.แป้งเค้ก 20 กรัม

5.ไข่ไก่ 2 ฟอง (เบอร์ 2) 

6.น้ำตาลทรายเนื้อละเอียด 40 กรัม 

7.มาการีน (สำหรับทาพิมพ์ก่อนอบช็อกโกแลตลาวา) 

8.พิมพ์คัพเค้กขนาดที่ต้องการ 3 – 5 ถ้วย 

9.สตรอว์เบอร์รี่ 1 – 2 ผล 

ขอบคุณภาพจาก pixabay

ขั้นตอน และวิธีการทำเมนูช็อกโกแลตลาวา 

1.เริ่มจากการใส่น้ำสะอาดในภาชนะใบใหญ่ตั้งไฟจนร้อน จากนั้นทำการละลายช็อกโกแลต กับเนยสดผ่านความร้อน ใช้ช้อนคนช็อกโกแลต และเนยสดจนละลาย ตั้งพักไว้จนหายร้อน 

2.ร่อนแป้งสาลี และแป้งเค้กใส่ในภาชนะเนยสด และช็อกโกแลตเหลว

3.ตอกไข่ไก่ใส่โถตีไข่ จากนั้นเปิดความแรงของเครื่องระดับ 2 จนไข่ฟุ จากนั้นผสมขาฟูลงในส่วนผสมต่าง ๆ โดยเร็ว โดยใช้ไม้พายคนอย่างเบามือ 

4.ทามาการีนบริเวณก้นพิมพ์ป้องกันการติดของเนื้อแป้งช็อกโกแลต จากนั้นตักส่วนผสมของช็อกโกแลตใส่พิมพ์ถ้วย 2/3 ของพิมพ์ ไม่ควรใส่จนเต็มถ้วย เพราะเนื้อแป้งช็อกโกแลตเมื่ออบเสร็จจะมีความฟู 

5.ก่อนทำการอบช็อกโกแลตลาวาให้ทำการวอร์มเตาอบทิ้งไว้ 10 นาที ในอุณภูมิ 180 องศาเซลเซียส เพื่อให้เตาอบมีความร้อนพร้อมการอบเปิดไฟบน ไฟล่าง พัดลม 

6.สำหรับการอบช็อกโกแลตลาวานั้น จุดประสงค์ในการอบต้องการให้เนื้อแป้งเค้กช้อกโกแลตด้านนอกสุก แต่ด้านไหนมีความเยิ้มของช็อกโกแลตเป็นลาวา ดังนั้นในการใช้เวลาอบจึงต้องอบไฟค่อนข้างแรง และอยู่ในระยะเวลาสั้น สำหรับเมนูช็อกโกแลตลาวาใช้เวลาอบประมาณ 15 นาที ใช้ไฟที่อุณหภูมิ 180 – 190 องศาเซียลเซียส 

7.เมนูช็อกโกแลตลาวา เสิร์ฟร้อน ๆ พร้อมผลไม้รสเปรี้ยวหวานเพื่อตัดความหวาน อย่างสตรอว์เบอร์รี่หั่นชิ้น เป็นทั้งเมนูที่อร่อย อีกทั้งถ้ารับประทานในปริมารที่พอดี ช็อกโกแลต ประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วย 

ขอบคุณภาพจาก pixabay

Categories
ขนมไทย

ขนมไทยเพชรบุรี จังหวัดที่มีแต่ความหวาน และขนมอร่อย

สำหรับประเทศไทย ในแต่ละจังหวัดแต่ละภูมิภาค ย่อมมีเอกลักษณ์และจุดเด่นแตกต่างกันออกไป แต่ในเรื่องจุดเด่น และราชาของขนมไทย ขนมหวานนั้น ไม่มีจังหวัดไหนเทียบชั้นกับจังหวัดเพชรบุรีได้เลย จนทำให้ภาพจำของจังหวัดเพชรบุรีนั้นคือขนมหวาน ถึงขนาดที่ว่ามีคำกล่าวที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ นั่นคือ นึกถึงความหวานให้นึกถึงเพชรบุรี 

ที่มาของความหวานนั้นก็ไม่ได้เล่น ๆ แต่ด้วยเพราะว่าดินแดนเพชรบุรีนั้นเป็นแหล่งของผลตาลโตนดซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของการทำน้ำตาลโตนดนั่นเอง จึงเป็นที่มาของราชาความหวานนั่นเอง สำหรับใครที่อยากจะไปท้าพิสูจน์ความหวานของขนมไทยเพชรบุรีนั้น สามารถขับรถไปตามเส้นทางเพชรเกษมได้เลย จะพบร้านขายขนม ของฝากเต็มสองข้างทาง รับรองได้ว่าถูกใจสาวกสายหวานอย่างแน่นอน 

ขอบคุณภาพจาก pixabay

ขนมไทยหม้อแกงถั่ว เตรียมวัตถุดิบในการทำนั้นไม่ยากอย่างที่คิด 

1.ถั่วเหลืองลอกเปลือกแล้ว 2 ถ้วยตวง 

2.ไข่ไก่เบอร์ 2 5 ฟอง (สามารถใช้ไข่เป็ดแทนได้ตามสูตรขนมไทยสมัยก่อน) 

3.หัวกะทิ 1.5 ถ้วยตวง 

4.น้ำตาลมะพร้าว 400 กรัม (เมนูของหวานไทยโบราณต้องใช้ ขาดไม่ได้)

5.เกลือป่น 1 ช้อนชา 

6.หัวหอมแดงซอย 1 ถ้วยตวง

7.น้ำมันพืช 1.5 ถ้วยตวง 

8.น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ

ขั้นตอน และวิธีการทำ ขนมชื่อดังเพชรบุรี ขนมหม้อแกงถั่ว

1.ขนมไทยเมนูขนมหม้อแกงถั่ว เริ่มจากการเตรียมแช่ถั่วเหลืองในน้ำสะอาด 8 -10 ชั่วดมง จากนั้นลอกเปลือกออกให้หมด นำมาปั่นในเครื่องปั่นแบบหยาบ (ไม่ปั่นจนละเอียด)

2..ตั้งน้ำมันให้ร้อน ใส่หอมแดงซอยลงไปเจียวจนกรอบหอม ตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำ 

2.ผสมส่วนผสมดังนี้ลงเครื่องผสมอาหาร ไข่ไก่ หัวกะทิ น้ำตาลทราย น้ำตาลมะพร้าว เกลือป่น น้ำมันกระเทียมเจียวนิดหน่อย ใช้ระดับความแรงในการผสมระดับ 2 ใช้เวลาประมาณ 5 -10 นาที 

3.ผสมถั่วเหลืองบด กับส่วนผสมที่ผสมในเครื่องผสมอาหาร จากนั้นนำลงไปกวนด้วยไฟระดับอ่อนอีกหนึ่งรอบ 

4.ใช้เวลาในการกวนส่วนผสมทั้งหมดประมาณ 10 – 20 นาที (กวนแค่พอจับตัว) 

5.เปิดตู้อบเตรียมไว้ 15 นาที ปรับไฟที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ไม่เปิดพัดลม เปิดเฉพาะไฟล่าง ยังไม่เปิดไฟบนตอนนี้ 

6.เตรียมถาดสำหรับอบ โดยการใช้แปรงทาน้ำมันเจียวหอมแดงทาทั่วทั้งถาด นำส่วนผสมที่กวนเสร็จแล้วใส่ในถาด โดรยด้วยหอมแดงเจียว เกลี่ยให้เสมอกัน จากนั้นนำเข้าไปอบในตู้อบใช้เวลา 40 นาที 

7.เมื่อขนมหม้อแกงถั่วใกล้สุก ให้ปิดไฟล่างของตู้อบ เปลี่ยนเป็นเปิดไฟบนแทนเพื่อให้หน้าเป็นเงาฟิล์มสวยงามแวววาว จากนั้นนำลงมาพักด้านนอก รอจนเย็นจึงทำการตัดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมจัตุรัสสวยงาม เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำเมนูขนมหวานไทยโบราณ ขนมชื่อดังเมืองเพชร ขนมหม้อแกงถั่วแล้ว 

ขอบคุณภาพจาก pixabay

Categories
ขนมไทย

ขนมไทยโบราณ ยุคสมัยเปลี่ยนไป แต่ความนิยมนั้นไม่เคยลดลงเลย

สำหรับขนมไทยโบราณนั้นเป็นขนมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ขนมไทยโบราณส่วนใหญ่จะมีวัตุดิบหลักเป็นน้ำตาลมะพร้าว กะทิ แป้ง โดยเพิ่มวัตถุดิบพืช ผลไม้ต่าง ๆ อย่างอื่นหาได้ทั่วไปในท้องถิ่นตามฤดูกาล เช่นกล้วย หัวเผือก หัวมัน ดัดแปลงเป็นเมนูขนมไทยได้มากมาย 

และในปัจจุบันนี้เราจะค่อนข้างเห็นขนมไทยในสไตล์ร่วมสมัย หรือขนมไทยแนวฟิวชั่นอยู่มากพอสมควร ขนาดการบรรจุอาจจะไม่ใหญ่โตเท่าขนในสมัยอดีต เพราะเน้นความง่ายความสะดวกใยการรับประทาน อีกทั้งความเข้มข้นเรื่องรสชาติความหวานนั้นก็ไม่หวานจนเกินไป 

เรียกได้ว่าเป็นการผสมผสานขนมไทยในยุคโบราณ และยุคสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว และสิ่งที่น่าแปลกใจนั่นนก็คือขนมไทยโบราณนั้นยังคงได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่ไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะเมนูที่หาประทานยากเพราะมีเฉพาะช่วงฤดูกาลที่มีผลผลิตของผลไม้ที่นำมาเป็นวัตถุดิบนั่นเอง อาทิ ขนมกลอย ขนมลูกตาล เป็นต้น

ขอบคุณภาพจาก pixabay

ขนมไทย วัตถุดิบเมนูขนมลูกตาล อร่อยกลมกล่อม หอมกลิ่นลูกตาลแท้ 

1.เนื้อตาลยี 1 ถ้วยตวง 

2.น้ำตาลมะพร้าว 300 กรัม (เมนูขนมไทยขนมลูกตาลไม่นิยมใช้น้ำตาลทราย)

3.แป้งข้าวเจ้า 250 กรัม 

4.แป้งเค้ก 250 กรัม 

5.แป้งสาลี 100 กรัม 

6.เกลือป่น 2 ช้อนชา 

7.ยีสต์ชนิดแห้ง 10 กรัม

8.น้ำกะทิคั้น 500 มิลลิลิตร 

9.มะพร้าวขูด 2 ถ้วยตวง (สำหรับแต่งหน้า)

8.ถ้วยกระทางใบตอง 15 – 20 ใบ (สำหรับเมนูของหวานไทยโบราณจะนิยมใช้กระทง)

9.น้ำสะอาด 1000 มิลลิลิตร (สำหรับแช่ลูกตาล)

ขั้นตอน วิธีการทเมนูขนมลูกตาล ขนมไทยหารับประทานยาก

1.เริ่มจากการนำลูกตาลมาปลอกเปลือกออกนำไปแช่น้ำจนเปื่อย(ชื่อของหวานไทย ๆ มีที่มาจากชื่อของวัตถุดิบที่นำมาทำ) จากนั้นใส่ถุงมือแล้วทำการยีคั้น บีบให้ได้เนื้อลุกตาล แล้วกรองด้วยผ้าข้าวบางอีกหนึ่งครั้ง ทิ้งไว้ประมาณ 5 – 8 ชั่วโมง เพื่อให้เนื้อลูกตาลผ่านการกรองอย่างสมบูรณ์ 

2.ร่อนแป้งสาลี แป้งเค้ก แป้งข้าวเจ้า ผสมเนื้อตาลลงไป แบ่งน้ำกะทิใส่ทีละน้อยจนหมด ตามด้วยน้ำตาลมะพร้าว คลุกเคล้าให้เข้ากัน จะได้เนื้อแป้งที่ค่อนข้างหนืด 

3.ขนมไทยลูกตาลนี้จะใส่เกลือป่นทีหลัง ป้องกันเนื้อแข็ง ยีสต์แห้งลงไป แล้วคนให้ส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันอีกครั้ง ถ้าแป้งยังเป็นเม็ดให้คนจนแป้งนวลเนียน

4.พักแป้งไว้ 1 – 3 ชั่วโมง โดยใช้ฝาหม้อปิด หรือแผ่นพลาสติกใส่ปิด 

5.เมื่อพักแป้งลูกตาลได้ที่ ลักษณะของแป้งจะเกาะตัวกันเป็นแผ่นฟิล์ม และเนื้อแป้งเป็นเม็ด ถือว่าปกติ ให้ใช้ไม้พายคนให้ส่วนผสมทุกอย่างเข้ากัน 

6.ตักแป้งใส่กระทงใบตรองที่เตรียมไว้ปริมาณ ไม่ใส่ล้น ใส่เพียง 3/4 ตามด้วยโรยมะพร้าวขูดแต่งหน้า เตรียมตั้งซึ้งนึ่งขนมตาล 

7.เมื่อน้ำเดือดยกซึ้งกระทงขนมลูกตาลขึ้นซึ้ง ปิดฝาให้สนิท ใช้เวลานึ่ง 20 นาที เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร้จพิธีขนมไทยลุกตาลแสนอร่อยแล้ว 

ขอบคุณภาพจาก pixabay