
หลายเชื่อว่าขนม คุกกี้สิงคโปร์ เป็นขนมจากประเทศสิงโปร์ แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่อย่างที่คิด เพราะแท้จริงล้วขนมชนิดนี้เป็นขนมไทย แต่ที่มีของชื่อขนมมาจากวัตถุดิบที่ใช้ทำขนมใช้แป้งมันสัมปะหลังเป็นส่วนผสม ซึ่งแป้งมันสัมปะหลังผลิตจากประเทศสิงคโปร์นั่นเอง สำหรับขนมคุกกี้ สิงคโปร์มีรสชาติหวาน มัน และมีกลิ่นควันเทียนหอมอบอวล ฟินสุดๆ แถมยังสามารถคู่กับเครื่องดื่มอย่าง ชา หรือกาแฟอร่อยอย่างลงตัว เรียกได้ว่าเป็นขนมที่สามารถทานได้ทุกเวลาไม่มีเบื่อ แถมขนมคุกกี้ชนิดนี้ยังมีปริมาณแคลน้อยมาก เพียง 95 แคลลอรี่ เท่านั้น ทานเยอะแค่ไหนก็ไม่อ้วนแน่นอน

คุกกี้ สิงคโปร์ ถือว่าเป็นขนมที่มีเนื้อแป้งกรุบกรอบเคี้ยวเพลินสุดๆ จนต้องขอเพิ่มเลยทีเดียว นอกจากรสชาติขนมจะอร่อยแล้ว รูปร่างหน้าตายังน่ารักอีกด้วย เรียกได้ว่าหากใครเห็นขนมชนิดจะต้องซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านแน่นอน แต่ถ้าจะให้บ่อยๆ คงหมดเงินเป็นแน่ ดังนั้นวันนี้เรามีสูตรคุกกี้สิงคโปร์มาฝากทุกคนได้ลองทำตาม เผื่อใครอยากลองทำเล่นๆ ที่บ้าน รับรองว่าสูตรเรานำมาแชร์นั้นง่ายนิดเดียว แถมยังอร่อยเหมือนซื้อที่ร้านมาเลยทีเดียว
วิธีทำ คุกกี้สิงคโปร์ ขนมยอดฮิต เนื้อแน่นกรุบกรอบ ทำง่ายๆ ได้ที่บ้าน

ขนมคุกกี้สิงคโปร์เป็นขนมที่มีความหวานละมุน ที่มาพร้อมกับกลิ่นควันเทียนที่หอมอบอวลอร่อยฟินทุกคำ นอกจากนี้เนื้อแป้งแน่น และกรุบกรอบเคี้ยวเพลินกันเลยทีเดียว นอจากนี้ขนมคุกกี้ สิงคโปร์ยังถูกนำมาเป็นขนมหวานตามงานเลี้ยงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานแต่ง งานวันเกิด หรืองานเลี้ยงสังสรรค์อีกด้วย หากใครอยากลองทำขนมชนิดนี้ไว้ทานระหว่างมื้อ วันนี้เรามีวิธีทำคุกกี้สิงคโปร์ ง่ายๆ ที่บ้าน ซึ่งสูตรใช้ทำคุกกี้สิงคโปร์ สูตรดั้งเดิม รับรองว่าทำออกมาแล้วอร่อยแน่นอน
วัตถุดิบ และส่วนผสมของแป้งคุกกี้
- แป้งมัน 150 กรัม
- แป้งอเนกประสงค์ 300 กรัม
- เนยจืด 200 กรัม
- น้ำตาลไอซ์ซิ่ง 150 กรัม
- เม็ดมะม่วงหิมพานต์ 50 กรัม
- เทียนอบขนม 1 แท่ง
- น้ำมันพืช 50 กรัม

วัตถุ และส่วนผสมสำหรับทาหน้าขนม
- ไข่แดง 2 ฟอง
- เกลือป่น ½ ช้อนชา
- กลิ่นวานิลลา ½ ช้อนชา
เมื่อเตรียมส่วนผสมของคุกกี้สิงคโปร์แล้ว ในขั้นตอนต่อมาเราจะมาทำเบเกอรี่อย่าง คุกกี้ สูตรสิงคโปร์ โดยมีขั้นตอนดังนี้

- มาเริ่มที่ขั้นตอนแรกกันเลย นำเนยมาตีให้ฟูด้วยเครื่องตีขนม จากนั้นใส่น้ำตาลไอซ์ซิ่งลงไปตีส่วนผสมให้เข้ากันอีกครั้ง ต่อมาให้นำแป้งสาลีอเนกประสงค์ และแป้งมันร่อนลงในภาชนะที่เตรียมไว้
- นำแป้งที่ร่อนไว้แล้วใส่ในภาชนะที่ตีเนยไว้ โดยค่อยๆ เติมแป้งลงไป และน้ำมันพืชลงไปด้วย ตีส่วนผสมทั้งหมดให้เป็นเนื้อเดียว ตามด้วยไข่แดง เกลือป่น และกลิ่นวานิลลา จากนั้นตีส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน
- นำแป้งที่ได้มาทำการรีดให้แผ่นความประมาณ 1 เซนติเมตร นำพิมพ์กดลงไปบนแผ่นแป้งที่รีดไว้ จากนั้นนำไปวางบนถาดอบขนม โดยจะต้องขนมให้ห่างกันประมาณ 1 เซนติเมตร
- นำเม็ดม่วงหิมะพานต์ผ่าครึ่ง นำไปวางบนแป้งคุกกี้ เสร็จแล้วทาไข่แดงลงไปบนหน้าขนม นำถาดอบเข้าอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส เป็นเวลาประมาณ 15 นาที พักไว้ให้เย็น
- นำขนมที่อบเสร็จแล้วนำมาอบควันเทียน เป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นนำออกมาจัดใส่จาน เพียงเท่านี้ก็จะได้ขนมคุกกี้ สูตรสิงคโปร์เรียบร้อยแล้ว

คุกกี้ สิงคโปร์ ที่อบเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะมีสีเหลืองสวยงาม รสชาติหวาน มัน เค็ม และหอมกลิ่นควันเทียน ส่วนเนื้อแป้งกรุบกรอบเคี้ยวเพลินจนหมดจาน เรียกได้ว่าเป็น เบเกอรี่ยอดนิยมที่มีวิธีการทำค่อนข้างง่าย ไม่ยุ่งยาก และส่วนผสมมีเพียงน้อยสามารถทำได้แม้จะมีเวลาว่างเพียง 2-3 ชั่วโมงก็สามารถขนมสูตรดั้งเดิมได้
แชร์วิธีทำเบเกอรี่ง่ายๆ คุกกี้ สูตรสิงคโปร์ ขนมเทศกาลตรุษจีน

คุกกี้สิงคโปร์เป็นอีกหนึ่งขนมที่นิยมทำในช่วงเทศกาลตุษจีน เพราะเนื้อสัมผัสที่กรุบกรอบ หอม หวาน และมีความเค็มหน่อยๆ ส่วนด้านบนของขนมถูกตกแต่งด้วยมะม่วงหิมพานต์ ทาเคลือบด้วยไข่แดงน่าทานสุดๆ สำหรับชนิดนี้สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายขนมเจทั่วไปในท้องตลาด แต่ถ้าใครอยากลองเบเกอรี่ทำเองง่ายๆ อย่างคุกกี้ สูตรสิงคโปร์ เรามีสูตรมาให้ได้ลองทำตาม สำหรับสูตรนี้เราจะเปลี่ยนเนยสด เป็นเนยถั่วแทน แต่ส่วนผสมอื่นสามารถใช้ตามสูตรคุกกี้ สูตรสิงคโปร์ และวิธีทำสามารถทำตามที่กล่าวมาข้างต้นได้เลย แต่ถ้าใครอยากให้ขนมคุกกี้สามารถเก็บไว้ได้นานๆ แนะนำให้ใช้น้ำมันปาล์มแทนน้ำมันหมู แต่ความหอมของขนมจะน้อยกว่าน้ำมันหมูนั่นเอง

เป็นอย่างไรบ้างกับวิธีการทำขนมคุกกี้สิงคโปร์ที่หลายคนคิดว่าทำยากมากแน่ๆ แต่พอได้ทำเบเกอรี่โฮมเมดแล้ว ต้องบอกเลยว่าขนมสูตรนี้ทำง่ายมากๆ แถมยังสามารถได้ด้วยตัวเองที่บ้านอีกด้วย นอกจากนี้ขนมคุกกี้ที่ทำเสร็จแล้วสามารถนำมาเก็บไว้ทานได้อีกหลายวัน โดยที่รสชาติยังคงความอร่อย และกลิ่นหอมควันเทียนอบขนมเหมือนเดิม สำหรับใครอยากลองทำขนมสามารถทำตามสูตร และขั้นตอนเรานำมาให้ติดตามได้เลย เผื่อทำไว้ขายในช่วงเทศกาลต่างๆ ที่สำคัญของไทย รายได้ปังแน่นอน
อ่านบทความอื่นๆ: