Categories
เบเกอรี่

ขนมปังเนยสด สอนทำเมนูเบเกอรี่ยอดฮิตของคนไทย

https://mykitchencook.com/wp-content/uploads/2021/06/ขนมปังเนยสด-สอนทำเมนูเบเกอรี่ยอดฮิตของคนไทย.jpg

คนไทยสว่นใหญ่ชื่นชอบรับประทานขนมหวาน โดยเฉพาะขนมประเภทเบเกอรี่ ถึงแม้ว่าไม่ใช่ขนมประจำชาติ แต่ก็เป็นขนมฮอตฮิตติดลมบนของคนไทย ความชอบมีมากขนาดไหนสังเกตุได้จากมีร้านเบเกอรี่มากมายทั่วประเทศไทยทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด 

เมนูขนมปังเนยสดก็เป็นเมนูที่คนนิยมรับประทานกันมากเมนูหนึ่งเลยทีเดียว อาจจะเป็นเพราะว่ารับประทานง่าย อิ่มอยู่ท้อง รสชาติของกลิ่นเนย นม ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนใจ อีกทั้งยังสามารถรับประทานได้ทุกมื้อ ทำให้คนไทยทุกเพศทุกวัยนั้นชอบรับประทานขนมนี้มาอย่างยาวนาน

สามารถหาซื้อได้ที่ร้านเบเกอรี่ และร้านกาแฟ เครื่องดื่ม หรือถ้าอยากรับประทานแบบสดใหม่จากเตาอบ ก็สามารถที่จะทำรับประทานเองได้เลยไม่ยาก หรือแม้กระทั่งต่อยอดทำขายก็เป็นอาชีพหนึ่งที่น่าสนใจทีเดียว 

เว็บไซต์ mykitchencook จึงได้รวบรวมข้อมูลการสอนทำขนมปังเนยสดไว้เพื่อเป็นประโยชน์กับผู้ที่สนใจหาข้อมูล ศึกษาเรียนรู้การทำขนมปังเนยสดไว้ดังนี้

วัตถุดิบ ส่วนผสมเมนูขนมปังเนยสด 

  • แป้งขนมปัง 450 กรัม
  • แป้งสาลี (แป้งอเนกประสงค์) 50 กรัม
  • เนยสด 50 กรัม
  • นมสด 240 มล.
  • ยีสต์แห้ง 1 ช้อนโต๊ะ 
  • เกลือป่น 0.5 ช้อนชา 
  • นมข้นหวาน 60 กรัม 
  • น้ำตาลทราย 90 กรัม 
  • งาขาว 1 ช้อนโต๊ะ (ปริมาณตามความชอบ)

ขั้นตอน เคล็ดลับ ไอเดียต่อยอดในการทำขนมปังเนยสด 

(ผู้ศึกษาทำตามทุกขั้นตอน จะเข้าใจ และได้คำตอบว่าอะไรทำให้แป้งนุ่ม)

  1. เทแป้งขนมปัง แป้งสาลี น้ำตาลทราย ยีสแห้ง เกลือป่น รวมในภชนะเดียวกัน 
  2. จากนั้นใช้ตะแกรงสำหรับร่อนแป้ง ร่อนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน
  3. เทส่วนผสมทั้งหมดลงในหม้อนวดแป้ง จากนั้นใส่นมข้นหวาน นมสด เนยสด ตามลงไป 
  4. นวดส่วนผสมทั้งหมดโดยใช้ใบพัดชนิดใบไม้ ปรับระดับความแรงของเครื่องนวดที่เบอร์ 2 นวดเป็นเวลา 20 นาที 
  5. เมื่อนวดแป้งขนมปังได้จับตัวกันเป็นก้อนเหนียวแล้ว ให้ตักก้อนแป้งขึ้นมานวดนิดหน่อยให้เป็นทรงกลม จากนั้นนำก้อนแป้งไปพัก 1 ชั่วโมง โดยใช้ผ้าขาวบางคลุมไว้ 
  6. เมื่อพักแป้งครบ 1 ชั่วโมง จากนั้นนำมาตัดด้วยอุปกรณ์สำหรับตัดขนมปัง แบ่งเป็นก้อน ก้อนละ 40 – 50 กรัม
  1. ใช้มือคลึงแป้งที่ตัดเรียบร้อยแล้วทีละก้อนเป็นรูปทรงกลม จากนั้นเรียงใส่ถาดให้เป็นระเบียบ พักแป้งไว้อีกประมาณ 1 ชั่วโมง
  1. เมื่อพักแป้งไปแล้ว 1 ชั่วโมงให้เอาก้อนแป้งออกมารีดอากาศออกทีละก้อนโดยไม้รีดแป้ง เมื่อรีดเสร็จก็ใช้มือคลึงแป้งให้กลม แล้วนำไปพักต่อในถาด สามารถเรียงให้ก้อนแป้งขนมปังติดกันได้ 
  2. ก่อนวางขนมปังรอบสุดท้ายนี้ ให้ใช้แปรงทาเนยสดบาง ๆ แล้วทาลงในถาดเพื่อป้องกันแป้งเหนียวติดถาด
  3. พักแป้งไว้ต่ออีก 30 นาที ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาน้อยหรือมากขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ถ้าอากาศเย็น หรือฤดูหนาวเวลาพักแป้งนานกว่า 30 นาที แต่ถ้าเป็นช่วงอากาศปกติ หรือฤดูร้อนเวลาพักแป้งก็จะอยู่ไม่เกิน 30 นาที หรือระหว่างพักแป้งให้คอยหมั่นสังเกตถ้าแป้งขยายตัว แป้งเป็นโดสวยงามก็เตรียมนำมาอบได้ 
  4. ก่อนอบ นำเนยสดละลายความร้อนให้เหลวนิดหน่อย ผสมงาขาวลงไปในเนยเหลว จากนั้นใช้แปรงจุ่มเนยสดงาขาวทาบนขนมปัง แล้วนำเข้าตู้อบ 
  5. ก่อนนำขนมปังอบ ให้ทำการวอร์มตู้อบไว้ก่อน 10 นาที แล้วนำถาดขนมปังวางชั้นล่างสุดที่อยู่ติดกับไฟล่าง ปรับระดับการใช้งานตู้อบ โดยเปิดทั้งไฟบน – ไฟล่าง เปิดพัดลมตู้อบด้วย อบด้วยอุณหภูมิ 175 องศาเซลเซียส นาน 15 – 20 นาที 
  6. พักขนมปังไว้ในอุณหภูมิปกติจนหายร้อนจัด เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยได้ขนมปังเนยสดหอมอร่อยสดใหม่ไว้รับประทานกันแล้ว

บอกเคล็ดลับอะไรทำให้แป้งนุ่ม

เคล็ดลับง่าย ๆ ที่ช่วยให้แป้งนุ่มนั่นก็คือการร่อนแป้งขนมปัง และแป้งสาลีก่อนที่จะนำแป้งเข้าหม้อนวด การร่อนแป้งนั้นทำให้เพิ่มช่องอากาศในมากมากขึ้นทำให้ขนมปังเนยสดที่ได้นุ่มดุจปุยนุ่นเลย 

ไอเดียการต่อยอดจากการเรียนรู้ทำเมนูขนมปังเนยสด 

สามารถนำความรู้นี้ไปประกอบเป็นอาชีพสร้างรายได้ เปิดร้านขายเบเกอรี่ และพัฒนาต่อยอดเพิ่มลูกเล่น เพิ่มไส้ เพิ่มความน่าสนใจ สร้างความแตกต่างให้เมนูขนมปังเนยสดได้ 

Categories
อาหารไทย

ตะโก้ข้าวโพด เมนูขนมไทยหอมหวานมันอร่อย

https://mykitchencook.com/wp-content/uploads/2021/06/ตะโก้ข้าวโพด-เมนูขนมไทยหอมหวานมันอร่อย.jpg

เมนูขนมไทยจะว่าไปแล้วนั้นมีมากมายหลายชนิด และคนไทยเองนั้นก็ชื่นชอบของหวาน ชื่นชอบการกินขนมกันเป็นชีวิตจิตใจ จะสังเกตได้ว่า ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ก็จะพบเห็นของกินมากมายขาย โดยเฉพาะขนมหวานต่าง ๆ โดยเฉพาะตลาดนัดตลาดสด จะเป็นแหล่งจำหน่ายขนมหวาน ขนมไทยที่อร่อย ๆ มากมาย 

ใครที่เป็นสาวกขนมไทย อยากเลือกซื้อขนมหลากหลายชนิดรับประทานก็ต้องไปตลาด รับรองได้ว่ามีขนมอร่อยมากมายให้เลือกรับประทานกันอย่างจุใจแน่นอน และหนึ่งในขนมที่คนนิยมรับประทานมากนั่นก็คือขนมตะโก้ข้าวโพด เพราะด้วยความที่รสชาติหอมหวานมัน เหนียวหนึบ และปัจจุบันขนมตะโก้นั้นถูกออกแบบให้มีอันเล็กกะทัดรัดพอดีคำ น่ารับประทานมาก

นอกเหนือจากความอร่อยแล้ว ขนมตะโก้ข้าวโพดยังสามารถนำไปต่อยอดพัฒนาเป็นอาชีพสร้างได้เสริมได้แบบน่าสนใจมาก เพราะเป็นขนมที่คนไทยชอบรับประทาน ยิ่งถ้ามีความคิดสร้างสรรค์ ไอเดียดี พัฒนาสูตร พัฒนารูปแบบการขายให้น่าสนใจรับรองได้ว่าขนมตะโก้ข้าวโพดสามารถสร้างรายได้อย่างงามทีเดียว

เป็นขนมที่สามารถนำไปต่อยอดสร้างอาชีพสร้างรายได้ เว็บไซต์ mykichencook ได้รวบรวมขั้นตอนการทำไปขนถึงไอเดียต่อยอดอาชีพของเมนูขนมตะโก้ข้าวโพดเพื่อเป็นประโยชน์สำหรับคนที่สนใจ และคนที่กำลังมองหารายได้เสริม

วัตถุดิบการทำเมนูขนมไทยตะโก้ข้าวโพด

  1. ใบเตย 10 ใบ สำหรับเป็นส่วนผสมของขนมตะโก้ข้าวโพด (ตัวช่วยให้ขนมไทยหอมละมุนขึ้น)
  2. ใบเตย 20 ใบสำหรับทำเป็นกระทงใส่ขนมตะโก้ข้าวโพด 
  3. ข้าวโพดสีเหลืองหั่น 2 ถ้วย
  4. แป้งมัน 15 กรัม 
  5. น้ำสะอาด 750 กรัม 
  6. น้ำตาลทราย 160 กรัม
  7. แป้งข้าวเจ้า 110 กรัม (ถ้าเป็นวิธีทำขนมแบบโบราณจะใส่แป้งข้าวเจ้า)

วัตถุดิบสำหรับทำหน้าขนม

  1. ข้าวโพดต้มสุก 1/2 ถ้วย 
  2. เกลือป่น 1ช้อนชา
  3. แป้งมัน 12 กรัม
  4. น้ำตาลทราย 80 กรัม
  5. หัวกะทิ 400 กรัม (ขนมไทยตะโก้ข้าวโพดขาดหัวกะทิห้ามขาดสิ่งนี้)
  6. น้ำสะอาด 180 กรัม 

ขั้นตอนและวิธีการทำเมนูขนมไทยตะโก้ข้าวโพด 

  1. ตั้งน้ำสะอาดให้เดือด จากนั้นนำใบเตยลงไปต้ม 5 นาที (ถ้าใช้เวลาต้มนานกว่านี้รสชาติจะเฝื่อน) จากนั้นตักใบเตยออกทิ้ง (เป็นวิธีทำขนมที่ช่วยให้ขนมหอมละมุนมาก)
  2. กรองน้ำใบเตยอีกครั้งด้วยตะแกรง เพื่อกรองเศษใบเตยออก 
  3. จากนั้นผสมแป้งมัน แป้งข้าวเจ้า น้ำตาลทราย เข้าด้วยกันโดยใช้ช้อนคลุกเคล้า 
  4. เปิดไฟระดับเบา ตั้งภาชนะจากนั้นใส่น้ำใบเตยลงไป พร้อมส่วนผสมของแห้งที่ผสมกันเรียบร้อยแล้วลงไปคนในหม้อ
  5. จากนั้นใส่ข้าวโพดสีเหลืองที่หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ลงไปผสมกับส่วนผสมทั้งหมดบนเตา
  6. ใช้ไม้พายคนไปเรื่อย ๆ ห้ามพักมือ เพราะถ้าไม่คนจะไหม้ได้ เมื่อคนจนส่วนผสมทุกอย่างเริ่มเหนียวเซ็ตตัวก็ยกลงจากเตาตั้งพักไว้
  7. ทำกระทงสำหรับใส่ตะโก้โดยใช้ใบเตยพันเป็นรูปสี่เหลี่ยมแล้วกลัดด้วยไม่จิ้มแหลม จากนั้นใช้ช้อนตักส่วนผสมของแป้งตะโก้ที่เพิ่งทำเสร็จลงในกระทงใบเตย โยใส่ในระดับ 3/4 ของกระทง
  8. จากนั้นผสมแป้งมัน เกลือป่น น้ำตาลทรายเข้าด้วยกัน 
  9. ตั้งภาชนะบนเตา เปิดไฟระดับเบา จากนั้นใส่หัวกะทิลงไป แล้วใส่ส่วนผสมของแห้งแป้งมัน เกลือป่น น้ำตาลลงไป คนให้เข้ากัน เมื่อร้อนได้ที่ส่วนผสมละลายให้ยกลง 
  10. นำส่วนผสมทั้งหมดราดลงบนขนมบนกระทง แล้วเต่งหน้าเล็กน้อยด้วยข้าวโพดสุกต้ม เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนขนมไทยเมนูตะโก้ข้าวโพด

เคล็ดลับในการทำเมนูขนมไทยขนมตะโก้ข้าวโพดให้อ่อนละมุน กลิ่นหอมชวนรับประทาน 

  1. ในขั้นตอนของการทำตัวแป้งตะโก้ ให้ใช้น้ำต้มใบเตย แทนการใช้น้ำธรรมดา จะทำให้ส่วนของตัวแป้งตะโก้นั้นหอมละมุนอย่างมาก
  2. ใช้ใบเตยทำเป็นกระทงแทนภาชนะพลาสติก เพราะกลิ่นใบเตยนั้นเมื่อมารวมตัวกับกลิ่นความหอมมันของกะทิแล้ว จะทำให้ขนมนั้นมีความน่ารับประทานเป็นอย่างยิ่ง เป็นสัมผัสที่หอมละมุนมาก 
  3. ขนมชนิดนี้มีกะทิเป็นพระเอก และมีข้าวโพดเป็นพระรอง ดังนั้นความหอมมันของขนมจะอร่อยทวีคูณถ้าใช้กะทิที่คั้นสด ๆ ไม่ใช้กะทิกล่อง เพราะกะทิกล่องสามารถใช้ได้เหมือนกันแต่ความอร่อยจะไม่เท่ากะทิสด 

ไอเดียการต่อยอดจากเมนูตะโก้ข้าวโพด 

  1. สามารถพัฒนาฝีมือและทำเป็นอาชีพขายขนมสร้างรายได้อย่างงาม
  2. แตกไลน์เรียนรู้ขนมไทยชนิดอื่น และพัฒนาสูตรให้มีความโดดเด่นเฉพาะตัว จากนั้นทำหลักสูตรสอนออนไลน์สร้างรายได้ในระยะยาว
Categories
อาหารนานาชาติ อาหารอินเดีย

วิธีทำ ขนมปานีปูรี อาหารอินเดีย วัฒนธรรมการกินของคนอินเดียที่คนไทยอยากสัมผัส

อาหารอินเดียนั้น เป็นอาหารที่มีเสน่ห์มาก โดยเฉพาะกระบวนการขั้นตอนในการทำที่มีหลายมิติ หลายขั้นตอน รวมไปถึงวิธีในการรับประทานอาหารอินเดียนั้นก็มีความเป็นเอกลักณ์เฉพาะตัว สำหรับอาหารอินเดียในประเทศนั้น เท่าที่พบเจอจะมีในจังหวัดกรุงเทพฯ ย่านค้าขายของคนอินเดียชื่อย่านพาหุรัด มีอาหารอินเดียทั้งคาวหวานมากมายจำหน่าย 

ในส่วนของภูมิภาคอื่นนอกเหนือจากกรุงเทพฯ ถ้าอยากรับประทานอาหารอินเดีย ก็ค่อนข้างจะหารับประทานยากพอสมควร วันนี้เว็บไซต์ mykitchencook ได้รวบรวมวัตถุดิบ ขั้นตอนวิธีการทำ ไปตลอดจนถึงวิธีการรับประทานขนมอินเดียปานีปูรีเพื่อเป็นประโยชน์ของผู้ที่ต้องการสัมผัสรสชาติแปลกใหม่ของขนมอินเดีย

วัตถุดิบ ขั้นตอนวิธีการทำ วิธีการรับประทานเมนูอาหารอินเดียปานีปูรี 

อาหารอินเดียปานีปูรีจะมีหลายส่วนประกอบ ได้แก่ส่วนของแป้งปานีปูรี ไส้มันฝรั่ง น้ำซอสมะขาม น้ำราดปานีปูรี ส่วนของแป้งกรอบบูนดี้ และมีส่วนของเครื่องเคียงปานีปูรี 

วัตถุดิบและขั้นตอนการทำแป้งปานีปูรี

  1. แป้งซูจี 3 ช้อนโต๊ะ
  2. เกลือป่น 1 ช้อนชา
  3. แป้งสาลี 3/4 ถ้วยตวง
  4. น้ำที่มีความเย็น 120 มล.
  5. น้ำมันพืชสำหรับทอด 1000 มล.

ขั้นตอนการทำแป้งปานีปูรี

  1. ร่อนแป้งสาลี แป้งซูจี และเกลือลงในภาชนะ จากนั้นใช้น้ำเย็นจัดค่อยทยอยหยอดลงในแป้ง แล้วนวดไปเรื่อย ๆ จนเป็นก้อนหนึบเหนียว
  2. จากนั้นให้รีดแป้งแผ่นบางด้วยไม้รีดแป้ง แล้วใช้พิมพ์วงกลมตามขนาดที่ต้องการกดลงในแป้ง 
  3. จากนั้นให้พักแป้งไว้ 40 – 50 นาทีโดยใช้ผ้าสะอาด หรือผ้าขาวบางคลุมไว้
  4. เมื่อพักแป้งได้ที่ตามเวลาที่กำหนดไว้ ให้ตั้งกระทะปรับระดับไฟอ่อน ใส่น้ำมันในปริมาณที่เยอะ และน้ำมันร้อนจัดสุด ๆ (ไฟอ่อน) จึงจะใส่แป้งปานีปูรีลงไปทอด ถ้าน้ำมันไม่ร้อนจะไม่ฟู (หัวใจของการกินอาหารอินเดียเมนูขนมปารีปูนี แป้งต้องกรอบ)

วัตถุดิบทำไส้มันฝรั่งปานีปุรี

  1. มันฝรั่งนึ่งแล้วบดให้ละเอียด 3 ผล
  2. หอมแดงซอยละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
  3. ผงยี่หร่า 2 ช้อนชา
  4. ผงลูกผักชี 2 ช้อนชา
  5. พริกป่น 3 ช้อนชา (ถ้าชอบรสเผ็ดก็ใส่เพิ่ม)

ขั้นตอนการทำไส้มันฝรั่ง

ใส่มันฝรั่งลงในภาชนะ แล้วใส่ส่วนผสม หอมแดงซอย ผงยี่หร่า ผงลูกผักชี พริกป่น ใส่ทุกอย่างลงไป แล้วคลุกเคล้าทุกอย่างให้เข้ากัน เป็นอันเสร็จกาทำไส้มันฝรั่ง

วัตถุดิบการทำซอสมะขามปานีปูรี

  1. น้ำมะขามเปียกคั้น 200 มล. (เมนูอาหารอินเดียปานีปูรีขาดวัตถุดิบมะขามเปียกไม่ได้)
  2. น้ำตาลทราย 7 ช้อนโต๊ะ
  3. ผงยี่หร่า 1 ช้อนชา
  4. ผงลูกผักชี 1 ช้อนชา
  5. พริกป่น 2 ช้อนชา

ขั้นตอนการทำซอสมะขามปานีปูรี

ตั้งกระทะบนเตา ปรับไฟระดับอ่อน ใส่น้ำมะขามเปียก น้ำตาลทราย ผงยี่หร่า ผงลูกผักชี พริกป่น จากนั้นเคี่ยวให้ส่วนผสมทุกอย่างเข้ากัน บกลงตักใส่ภาชนะ

วัตถุดิบน้ำราดปานีปูรี

  1. พริกสดเม็ดใหญ่ 5 เม็ด
  2. ผักชีซอย 1 ต้น
  3. น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ 
  4. น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ 
  5. ขิงหั่นชิ้น 2 ชิ้น 
  6. ผงลูกผักชี 1 ช้อนชา
  7. ใบสะระแหน่ 1 ถ้วยตวง
  8. ผงยี่หร่า 2 ช้อนชา
  9. เกลือ 2 ช้อนชา 
  10. น้ำสะอาด 400 มล.

ขั้นตอนการทำน้ำราดปานีปูรี

เตรียมเครื่องปั่นให้พร้อม ใส่น้ำสะอาด และส่วนผสมทุกอย่างลงไปได้แก่ พริกเม็ดใหญ่ ใบสาระแหน่ ผักชี มะนาว น้ำตาลทราย ผงยี่หร่า ผงลูกผักชี เกลือป่น ขิงหั่น แล้วปั่นจนส่วนผสมละเอียด เทมส่ภาชนะ 

วัตถุดิบแป้งกรอบบูนดี้

  1. แป้งสาลี 2 ช้อนโต๊ะ
  2. แป้งเบซัน 3 ช้อนโต๊ะ
  3. น้ำเย็น 100 มล.
  4. ตั้งเตาใช้ระดับไฟอ่อน ใส่น้ำมันในกระทะ ตั้งจนกระทะร้อนจัด
  5. ใช้แป้งเหลวที่ผสมไว้ร่อนผ่านกระชอนให้กระจายเป็นเม็ด 
  6. ใช้เวลาทอดไม่นาน ใช้กระชอนตักขึ้นมาพักให้สะเด็ดน้ำมัน

เครื่องเคียงเพิ่มรสชาติของขนมปานีปูรี

  1. หอมแดงซอยละเอียด
  2. พริกจินดาซอยละเอียด 

วิธีการรับประทานขนมปานีปูรี

การกินอาหารอินเดียนั้น มีองค์ประกอบ ได้แก่น้ำแป้งปานีปูรีที่เป็นรูปวงกลมเจาะรูด้านบน จากนั้นใส่ไส้มันบด ใส่แป้งกรอบบูนดี้ ใส่ซอสมะขาม ราดด้วยน้ำปานีปูรี ใส่พริกจินดาซอย หอมแดงซอย 

จากนั้นอ้าปากให้กว้างที่สุดใส่ก้อนปานีปูรีเข้าไปไปทีเดียวทั้งชิ้น เหตุผลที่ต้องใส่ไปทั้งชิ้นเพราะถ้ากัดทีละครึ่งคำน้ำซอสมะขาม และน้ำปานีปูรีจะหกเลอะเปื้อนทำให้ขาดอรรถรสในการรับประทานมาก รสชาติจะกลมกล่อมมีความกรอบของแป้ง ผสมความมันของไส้มันบด และความเปรี้ยวซ่าของซอสมะขาม และน้ำราดปานีปูรี 

Categories
อาหารไทย

เมนูแกงเขียวหวานไก่ อาหารไทยยอดนิยมตลอดกาล

https://mykitchencook.com/wp-content/uploads/2021/06/แกงเขียวหวานไก่-อาหารไทยยอดนิยมตลอดกาล.jpg

เมนูแกงเขียวหวานไก่ เป็นเมนูที่คนไทยเราคุ้นชินกันมานาน นิยมรับประทานคู่กับขนมจีน แกล้มด้วยไข่ต้ม ผักสด แตงกวา ถั่วฝักยาว หรือแกล้มด้วยผักกาดดองก็เข้ากันมาก สามารถรับประทานกับข้าวสวยร้อน ๆ แกล้มด้วยปลาเค็ม ไข่เจียวก็อร่อยจนวางช้อนไม่ลงกันเลยทีเดียว

สามารถรับประทานเป็นอาหารหลักได้ทั้ง 3 มื้อ โดยเฉพาะงานพิธีสำคัญ งานทำบุญ จะมีเมนูกับข้าวแกงเขียวหวาน ขนมจีนแกงเขียวหวานแทบทุกงาน โดยเฉพาะงานบุญ อาทิงานบวช งานขึ้นบ้านใหม่ งานปีใหม่ งานแต่งงาน งานฉลองต่าง ๆ เพราะเป็นอาหารไทยที่รับประทานได้ทุกเพศทุกวัย รสชาติเข้มข้นหอมเครื่องแกงพริกสดหอมมันกะทิ

ไม่เพียงแต่คนไทยเท่านั้นที่ชอบรับประทานแกงเขียวหวานไก่ คนต่างชาติที่ได้ลองรับประทานแกงเขียวหวานไก่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย เข้มข้น จัดว่าเป็นเมนูประจำชาติชาติไทยเมนูหนึ่งเลยก็ว่าได้ เว็บไซต์ mykitchencook จึงไม่รอช้านำข้อมูลวัตถุดิบรวมไปถึงขั้นตอนการทำเมนูแสนอร่อยนี้แก่ท่านผู้สนใจ โดยมีข้อมูลตั้งแต่วัตถุดิบเครื่องแกงเขียวหวานกันเลยทีเดียว รับรองได้ว่าใครไม่มีพื้นฐานก็สามารถเริ่มต้นเรียนรู้กันได้เลย

วัตถุดิบในการทำเมนูแกงเขียวหวานไก่

1.เครื่องแกงเขียวหวาน 500 – 700 กรัม 

2.หางกะทิ 1,000 มล

3.หัวกะทิ 400 มล.

4.น้ำสะอาด 1 ถ้วย

5.สะโพกไก่ 1 กก.

6.เลือดไก่หั่น 1 ถ้วย

7.มะเขือเปราะหั่น 2 ถ้วย

8.มะเขือพวง 1 ถ้วย

9.พริกหยวกเขียว / แดง หั่นเฉียง 1 ถ้วย

10.ใบโหระพา 2 ถ้วย

11.น้ำตาลปิ๊บ 3 ช้อนโต๊ะ (หัวใจสำคัญของการปรุงรสชาติอาหารไทย)

12.น้ำปลา 4 ช้อนโต๊ะ

13.ตีนไก่ 10 ชิ้น

วัตถุดิบเครื่องแกงเขียวหวานไก่

1.พริกขี้หนูสด 1 ถ้วย

2.ตะไคร้หั่น 1/2 ถ้วย

3.กระชายขาวหั่น 1 ช้อนโต๊ะ

4.กระเทียม 1 ช้อนโต๊ะ

5.หอมแดงหั่น 1 ช้อนโต๊ะ

6.ผิวมะกรูดหั่นฝอย 2 – 3 ชิ้น

7.ข่าหั่น 1/2 ถ้วย

8.เกลือเม็ด 1 ช้อนโต๊ะ (อาหารไทยโบราณใส่เกลือลงในเครื่องแกงเพื่อเพิ่มรสชาติ)

ขั้นตอนการทำเมนูแกงเขียวหวานไก่ 

  1. เริ่มจากการตำเครื่องแกงเขียวหวานด้วยการหั่นตะไคร้ ข่า กระชายขาว หอมแดง ผิวมะกรูด กระเทียม ให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ก่อนเพราะจะง่ายในการตำ 
  2. ตำด้วยมือกับภาชนะครก โดยเริ่มตำจากวัตถุดิบที่ตำยากก่อน ข่า ตะไคร้ กระชายขาว หอมแดง กระเทียม ผิวมะกรูด เกลือเม็ด ใส่ลงไปในครก จากนั้นให้ตำจนละเอียด ถ้าเครื่องแกงแห้งสามารถหยอดน้ำสะอาดลงไปได้เพื่อให้ตำง่ายขึ้น
  3. เมื่อตำทุกอย่างเริ่มละเอียดแล้ว ให้ใส่พริกขี้หนูสดลงไปตำเป็นอย่างสุดท้าย เพราะพริกมีความนิ่มตำไม่ยาก
  4. เตรียมกระทะประเภทใบใหญ่ก้นลึกในการ โดยตั้งกระทะบนเตา จากนั้นใส่หัวกะทินิดหน่อยลงไปผัดกับเครื่องแกงเขียวหวาน ผัดจนมีกลิ่นหอมของเครื่องแกง และทยอยเติมหัวกะทิจนหมด ผัดต่อไปเรื่อยๆ จนได้ที่ ( อาหารไทยประเภทแกงเผ็ดคนไทยจะชอบใส่กะทิเพราะจะหอมมันอร่อย)
  5. ใส่เนื้อไก่ลงไปผัดกับเครื่องแกง และหัวกะทิจนสุก จากนั้นใส่หางกะทิลงไป และเติมน้ำสะอาดลงไปเล็กน้อย ตั้งไฟต่อจนเดือด 
  6. จากนั้นใส่เลือดไก่ ตีนไข่ลงไป ขณะที่น้ำกำลังเดือดให้ปรุงรสด้วยน้ำปลา และน้ำตาลปิ๊บ จากนั้นคนให้ส่วนผสมทุกอย่างเข้ากัน 
  7. ใส่พริกหยวกหั่น มะเขือเปราะ มะเขือพวง ในขั้นตอนนี้ถ้าชอบเนื้อสัมผัสของมะเขือเปราะนิ่มก็ตั้งไฟนานหน่อย แต่ถ้าชอบเนื้อมะเขือแบบกรอบก็ตั้งไฟไม่นาน ตามด้วยการใส่ใบโหระพาเพิ่มความหอม จากนั้นยกลงจากเตาตั้งพักไว้
  8. แกงเขียวหวานไก่ เป็นอาหารไทยโบราณ ที่สามารถรับประทานได้กับขนมจีน และสามารถรับประทานได้กับข้าวสวยร้อน ๆ แกล้มด้วยไข่ต้ม ทอดมันปลา บอกเลยว่าเอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม

เคล็ดลับในการทำแกงเขียวหวานให้อร่อย

เครื่องแกงเขียวหวานไม่ควรปั่น ควรจะตำด้วยครกจะทำให้รสชาติของเครื่องแกงอร่อยมาก 

วัตถุดิบของการทำเครื่องแกงต้องครบ ถ้าขาดอย่างหนึ่งอย่างใดรสชาติจะเปลี่ยนทันที 

ขั้นตอนการผัดกะทิให้พอดี เป็นขั้นตอนที่เพิ่มความหอมของเมนูแกงเขียวหวานมากขึ้น 

ไม่ปรุงรสเพิ่มความหวานด้วยน้ำตาลทราย เพราะรสชาติจะไม่กลมกล่อมเหมือนน้ำตาลมะพร้าว 

ไอเดียต่อยอดจากการศึกษาเมนูแกงเขียวหวานไก่ 

หัวใจของเมนูนี้คือเครื่องแกงเขียวหวาน ถ้าฝึกทำจนชำนาญสามารถทำเครื่องเขียวหวานขายได้

เมื่อฝึกทำจนชำนาญ และแตกไลน์การทำเมนูอื่น สามารถเปิดร้านขายขนมจีนได้

พัฒนาสูตรในการทำให้มีรสชาติที่โดดเด่น สามารถเปิดเป็นคอร์สสอนออนไลน์สร้างรายได้ 

Categories
เบเกอรี่

คุกกี้เนยสด ขนมเบเกอรี่หอมอร่อย ทำก็ง่าย ทำขายก็รวย

คุกกี้เนยสด ขนมเบเกอรี่หอมอร่อย ทำก็ง่าย ทำขายก็รวย

คุกกี้เป็นขนมที่อยู่คู่คนไทยมานาน โดยเฉพาะช่วงเทศกาลปีใหม่ของทุกปีนั้นเป็นขนมยอดฮิตที่ทุกคนนิยมซื้อไปฝากคนที่รัก รสชาติอร่อย หอมกลิ่นเนย นม รับประทานคู่กับเครื่องดื่มชารสชาติต่าง ๆ เข้ากันมาก หรือจะรับประทานกับกาแฟตอนเช้าก็ได้รสชาติไปอีกแบบ 

คนไทยนิยมรับประทานเป็นอาหารทานเล่น ช่วงเวลาพักผ่อน คุกกี้อยู่คู่กับคนไทยมายาวนานตั้งแต่อดีต ยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน ความนิยมในการรับประทานคุกกี้นั้นยิ่งมีมากกว่าเดิม จะแตกต่างจากสมัยก่อนก็คือมีลูกเล่นมากกว่า คุกกี้ถูกใส่เดีย ใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไปมากมาย ทำให้ทุกวันนี้เราเห็นคุกกี้ในรูปแบบแปลกใหม่ทำให้เพิ่มมูลค่าให้คุกกี้ได้มากเลยทีเดียว 

นอกเหนือจากความอร่อยแล้ว ขนมคุกกี้นั้นยังทำง่ายใช้วัตถุดิบไม่กี่อย่าง อีกทั้งยังสามารถทำเป็นอาชีพสร้างรายได้เป็นที่น่าพอใจเลยทีเดียว สำหรับคนที่สนใจเรียนรู้การทำคุกกี้ เว็บไซต์ mykitchencook ได้รวบรวมทุกขั้นตอนการทำคุกกี้เนยสดไว้ เพื่อเป็นข้อมูลความรู้ในคนที่สนใจทำขนม และต่อยอดสร้างอาชีพในยุคที่เศรษฐกิจย่ำแย่แบบนี้

วัตถุดิบในการทำเมนูคุกกี้เนยสด

  • เนยสด 100 กรัม (เนยต้องยังมีรูปทรง ไม่เหลว)
  • น้ำตาลทรายเม็ดละเอียด 20 กรัม 
  • แป้งเค้ก 100 กรัม
  • แป้งสาลี 20 กรัม
  • แป้งข้าวโพด 30 กรัม 
  • ไข่ไก่ 1 ฟอง (เบอร์ 2)
  • กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา (เพิ่มกลิ่นหอมให้คุกกี้)
  • ผงฟู 1/2 ช้อนชา 
  • เกลือ 1 ช้อนชา 
  • ช็อกโกแลตชิป ( 2 – 3 ช้อนต๊ะ ) 

หมายเหตุ : สามารถเพิ่มวัตถุดิบได้ตามต้องการ อาทิเพิ่มช็อกลูกเกดเพื่อทำคุกกี้ลูกเกด เพิ่มธัญพืช เพื่อทำเป็นคุกกี้ธัญพืช

ขั้นตอน และวิธีการทำคุกกี้เนยสด

  1. นำเนยสดรสเค็มออกมาจากตู้เย็นพักไว้ประมาณ 5 นาที 
  2. นำเนยสดใส่ลงในโถตี โดยเลือกใช้ใบพัดแบบตะกร้อ ตั้งระดับความแรงเบอร์ 2 ตีเนยสดให้พอแตกตัวนิดหน่อย ไม่ตีจนนานเกินไป
  3. ใส่เกลือป่น น้ำตาลทราย และร่อนแป้งเค้ก แป้งสาลี แป้งข้าวโพดลงไป จากนั้นใช้ระดับความแรงในการตีแป้งเบอร์ 2 ตีประมาณ 5 นาที จนทุกอย่างผสมเข้ากัน 
  4. ใส่ไข่ไก่ ผงฟู จากนั้นปรับระดับการตีให้ลดลงเหลือความแรงระดับ 1 ตีให้ส่วนผสมเข้ากัน ไม่ต้องตีนานเกินไป โรยช็อกโกแลตชิปตบท้ายแล้วคลุกเคล้าเบาๆ 
  5. เตรียมอุปกรณ์ถุง และหัวบีบครีมแบบ 8 แฉกให้พร้อมใช้งาน จากนั้นใช้ไม้พายตักส่วนผสมทุกอย่างใส่ลงถุงให้เรียบร้อยเพื่อความสะดวกในการบีบ
  1. เตรียมถาดสำหรับใส่คุกกี้อบ ใช้กระดาษไขปูรองจนทั่วถาด จากนั้นบีบส่วนผสมที่เตรียมไว้ในถุงบีบ ทั้งหมดลงถาดขนาดที่พอดี 
  2. วอร์มไฟตู้อบโดยการเปิดไฟตู้อบไว้ประมาณ 10 นาที จากนั้นวางถาดคุกกี้ลงในตู้อบ ใช้ไฟ 140 -150 องศาเซลเซียส 30 – 40 นาที 
  3. เมื่ออบได้สีสันสวยงามแล้ว ให้นำออกมาพักไว้ด้านนอกจนหายร้อนจัด จากนั้นทำการเก็บไว้ โดยใช้วิธีเก็บในขวดโหลที่ปลอดเชื้อ หรือใส่ในถุงและปิดถุงให้สนิท เก็บด้วยวิธีที่ถูกต้องจะทำให้เก็บไว้รับประทานได้นาน

เคล็ดลับในการทำคุกกี้เนยสดให้อร่อยรสชาติละมุน กลิ่นหอมชวนรับประทาน และเก็บไว้รับประทานได้นาน 

ใช้เนยสดแท้เท่านั้นในการทำคุกกี้ ถ้าใช้มาการีนความหอมจะน้อย และเนื้อสัมผัสจะไม่ละมุน

การตีผสมส่วนผสมทั้งหมด ไม่ควรตีจนเนื้อเหลวเกินไป ให้ตีพอประมาณ เพราะถ้าส่วนผสมเหลวจนเกินไป เมื่อนำคุกกี้ไปเข้าเตาอบส่วนผสมจะเหลวละลายไม่เป็นรูปทรง

วิธีในเก็บคุกกี้เนยสดให้เก็บได้นานนั้นจะต้องเก็บในภาชนะที่มิดชิดไม่ให้อากาศเข้าได้ ถ้าต้องการเก็บในภาชนะขวดแก้ว ก่อนนำขวดแก้วมาใช้ฆ่าเชื้อทำความสะอาดก่อนนำมาใส่คุกกี้ 

ไอเดียนำความรู้ในการทำคุกกี้เนยสดไปต่อยอด 

คุกกี้เนยสดเป็นขนมที่อยู่ได้นาน ถ้าเก็บถูกวิธี มิดชิดสามารถอยู่ได้หลายเดือน ต่อยอดทำเป็นอาชีพขายทางออนไลน์ได้ไม่ยากเลย

สามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ดัดแปลง เพิ่มเติมเช่นยุคนี้เป็นยุคของคนรักสุขภาพ สามารถใส่ธัญพืชลงในส่วนผสม เป็นคุกกี้ธัญพืชเพิ่มมูลค่า และความน่าสนใจได้มากเลยทีเดียว

ในยุคดิจิตอลนี้ ถ้าทำคุกกี้จนชำนาญ และมีสูตรที่คิดสร้างสรรค์แบบแปลกใหม่ น่าสนใจ สามารถทำหลักสูตรการสอนออนไลน์ขายให้คนที่สนใจเข้ามาสึกษาเรียนรู้ได้ 

เพิ่มมูลค่าคุกกี้โดยการใช้แพคเกจจิ้งสวยงาม จัดคุกกี้เป็นชุดของขวัญ จำหน่ายเป็นของฝากในโอกาสพิเศษต่าง ๆ 

Categories
ขนมไทย

ขนมไทย ลูกชุบผลไม้ ขนมหวานทรงคุณค่าที่รวมทั้งศาสตร์ และศิลป์ไว้ด้วยกัน

https://mykitchencook.com/wp-content/uploads/2021/06/ขนมไทย-ลูกชุบผลไม้-ขนมหวานทรงคุณค่าที่รวมทั้งศาสตร์-และศิลป์ไว้ด้วยกัน.jpg

ขนมลูกชุบเป็นขนมไทยที่ใครเห็นแล้วก็อดใจไม่ไหวที่จะต้องรับประทาน เพราะสีสันรูปลักษณ์สดใสน่ารับประทาน มีหลายรูปแบบ ส่วนใหญ่คนมักจะปั้นลูกชุบเป็นผลไม้หลายสีสัน เคลือบความแวววาวด้วยการเคลือบวุ้น 

ขนมหวานประเภทนี้จะใช้วัตถุดิบในการทำไม่กี่อย่างสามารถหาซื้อวัตถุดิบได้ง่ายตามร้านค้า และท้องตลาดทั่วไป แต่สิ่งที่ต้องทุ่มเทในการทำขนมไทยชนิดนี้คือเวลา และความตั้งใจ เพราะต้องใช้เวลาในการกวนเนื้อของขนมลูกชุบ และใช้เวลาในการปั้นลูกชุบให้ออกมาเป็นรูปผลไม้ต่าง ๆ อีกทั้งยังต้องลงสีสัน รวมแล้วหลายขั้นตอนเลยทีเดียว 

สำหรับคนที่สนใจในศาสตร์ และศิลป์การปั้น การทำขนมลูกชุบผลไม้ที่สามารถสร้างเป็นอาชีพ เพิ่มช่องทางรายได้จากการทำขนมลูกชุบผลไม้ได้ไม่ยากเลย เว็บไซต์ mykitchencook มองเห็นคุณค่า และประโยชน์มากมายในการทำขนมไทยลูกชุบลไม้ จึงได้รวบรวมรายละเอียดการทำเมนูลูกชุบไว้ตั้งแต่การเตรียมวัตถุดิบ ไปตลอดจนถึงขั้นตอนในการทำจนได้เป็นเมนูขนมไทยลูกชุบผลไม้น่ารับประทาน

วัตถุดิบ/อุปกรณ์ การทำเมนูขนมไทยลูกชุบผลไม้ 

  1. ถั่วเขียวแบบลอกเปลือก 250 – 300 กรัม
  2. น้ำตาลทราย 250 กรัม(เพิ่มความหอม ความละมุนให้ขนมไทย)
  3. ใบเตย 3 ใบ
  4. กะทิ 230 กรัม
  5. สีผสมอาหาร สีเขียว เหลือง แดง ดำ ม่วง ( และสีที่ต้องการระบายลงบนลูกชุบ)
  6. ไม้เสียบลูกชิ้นปลายแหลม / ไม้จิ้มฟัน
  7. กระดาษทิชชูแบบซับน้ำมันสำหรับไว้ซับสีส่วนเกิน
  8. พู่กันใหม่สำหรับระบายสีลุกชุบ

วัตถุดิบในการทำวุ้นเคลือบลูกชุบผลไม้

  1. ผงวุ้น 1 ถุงเล็ก (3 ช้อนโต๊ะ)
  2. น้ำตาลทรายเกล็ดเล็ก 50 กรัม
  3. น้ำสะอาด 600 มล.

ขั้นตอนในการทำขนมลูกชุบผลไม้

  1. เมนูลูกชุบเป็นเมนูของหวานง่ายๆทำเอง โดยเริ่มจากการนำถั่วเขียวที่ลอกเปลือกแล้วมาล้างทำความ 2 – 3ครั้ง
  2. ใส่น้ำสะอาดตั้งไฟ เปิดไฟระดับอ่อน ใส่ถั่วลอกเปลือก และใบเตยลงไปต้ม ใช้เวลา 30 -40 นาที ระหว่างการต้มให้ใช้ช้อนคนเบา ๆ ตลอดเวลาป้องกันถั่วไหม้ และถั่วติดก้นหม้อ สามารถเติมน้ำสะอาดเพิ่มได้นิดหน่อยถ้าน้ำต้มแห้ง ไม่ควรเติมเยอะเกินไปจะทำให้ถั่วเม็ดแฉะได้
  3. เมื่อต้มถั่วครบเวลา 30 -40 นาที ให้หยิบถั่วมาบี้ที่มือถ้านิ่ม หรือเนื้อถั่วแตกละเอียดแสดงว่าถั่วสุกได้ที่ ให้ตักมาพักไว้ในภาชนะวางพักให้หายร้อน
  4. นำถั่ว กะทิ น้ำตาลทราย ใส่โถปั่น ปั่นจนถั่วละเอียด จากนั้นนำมากวนกระทะเทฟล่อน ใช้เวลากวนประมาณ 30 – 40 นาที จนถั่วเซ็ตตัวเป็นก้อน นำมาตั้งพักทิ้งไว้ในภาชนะ 
  5. ไม่ควรพักก้อนถั่วนานเกินไป จะทำให้เนื้อของถั่วแห้งเมื่อปั้นแล้วจะแตก 
  6. ละลายสีผสมอาหารแต่ละสีเตรียมไว้ ปั้นถั่วกวนเป็นรูปทรงผลไม้ต่าง ๆ ตามความต้องการ จากนั้นเสียบลูกชุบกับไม้ที่เตรียมไว้ แล้วลงสีบนขนมไทยลูกชุบ และซับสีส่วนเกินด้วยกระดาษทิชชูซับสี แล้วพักลูกชุบไว้ให้สีแห้ง
  7. มาถึงขั้นตอนการทำวุ้นเคลือบลูกชุบ โดยเริ่มจากการใส่ผงวุ้นลงในน้ำสะอาด รอจนผงวุ้นละลาย 
  8. นำผงวุ้นที่ละลายแล้วตั้งไฟ เมื่อร้อนจัดให้ใส่น้ำตาลททรายลงไป คนจนส่วนผสมทุกอย่างเข้ากัน 
  9. นำลูกชุบที่ลงสีแห้งแล้วมาชุบในวุ้นเคลือบ 1 รอบ จากนั้นรอจนแห้ง แล้วนำมาชุบวุ้นเคลือบอีก 1 รอบ จากนั้นพักไว้จนแห้ง แล้วดึงออกจากไม้เสียบ จัดลูกชุบใส่จาน หรือกล่องตามชอบ เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำลูกชุบผลไม้ 

เคล็ดลับในการทำลูกชุบให้อร่อย และน่ารับประทาน

  1. ขั้นตอนในการกวนถั่วเมนูของหวานง่ายๆทำเอง แต่ต้องหมั่นดูความเหลวความแห้งของถั่ว ถ้าแห้งเกินไปถั่วก็ร่วน ถ้าเหลงเกนไปลูกชุบจะแฉะปั้นยาก 
  2. ก่อนการเคี่ยววุ้นเคลือบ ผงวุ้นต้องละลายเป็นเนื้อเดียวกับน้ำสะอาด ถ้าละลายไม่หมดวุ้นจะมีตุ่มไม่เรียบเนียน 

ไอเดียนำความรู้เมนูขนมไทยลูกชุบผลไม้ต่อยอด

  1. ฝึกทำลูกชุบผลไม้จนชำนาญ สามารถทำขายสร้างรายได้ 
  2. สามารถเปิดทำเป็นหลักสูตรคอร์สออนไลน์สอนการทำลูกชุบได้ 
Categories
อาหารนานาชาติ

สปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศหมูสับ เมนูอาหารเช้าทำง่ายในช่วงเวลาเร่งด่วน

mychencook.com

อาหารเช้าเป็นอาหารมื้อที่สำคัญที่สุดของทุกวัน เพราะเป็นแหล่งเติมพลังในร่างกายของเรานั้นมีเรี่ยวมีแรงมีพลังงานในการออกไปต่อสู้ฟันฝ่าทำกิจกรรมนอกบ้านต่าง ๆ มากมาย ในผู้ใหญ่ก็ออกไปทำงาน ในเด็กก็ต้องออกไปใช้พลังในการเรียน 

อาหารมื้อเช้าของแต่ละชนชาติเชื้อชาติจะต่างกัน คนเอเชียส่วนใหญ่ก็รับประทานข้าวเป็นหลัก ส่วนคนในแถบยุโรปจะเน้นเมนูอาหารเช้า เป็นการรับประทานขนมปัง ไข่ ไส้กรอก แพนเค้ก สปาเก็ตตี้ โดยจะเน้นเนื้อนมไข่ ไม่นิยมรับประทานข้าวสวยแบบคนเอเชีย 

ขอบคุณภาพจาก pixabay
ขอบคุณภาพจาก pixabay

ซึ่งคนเอเชียก็อาจจะไม่ค่อยคุ้นชินกับเมนูอาหารเช้าของคนฝั่งตะวันตกเท่าไรนัก เว็บไซต์ mykitchencook จึงได้จัดทำเมนูอาหารของฝั่งตะวันได้แก่เมนูสปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศหมูสับ สำหรับคนที่สนใจเรียนรู้ โดยเว็บไซต์นำเสนอตั้งแต่ข้อมูลของวัตถุดิบ ไปจนถึงเคล็ดลับในการทำเมนูนี้ให้มีความอร่อยเหมือนต้นตำรับกันเลยทีเดียว

วัตถุดิบที่ใช้ในการทำเมนูสปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศหมูสับ

  1. เส้นสปาเก็ตตี้ 400 กรัม (อาหารเช้าผัดสปาเก็ตตี้สามารถเลือกใช้เส้นแบบอื่นได้ตามชอบ)
  2. น้ำสะอาด 900 – 1,000 มล.(สำหรับต้มเส้นสปาเก็ตตี้)
  3. น้ำมันพืช 4 ช้อนโต๊ะ
  4. หมูสับ 1/2 ถ้วย
  5. ซอสพริก 1 ช้อนโต๊ะ
  6. ซอสมะเขือเทศ 7 ช้อนโต๊ะ (ขาดไม่ได้สำหรับเมนูอาหารเช้าแบบฝรั่ง)
  7. น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
  8. น้ำปลา 2 ช้อนชา
  9. ซีอิ้วดำ 1 ช้อนชา
  10. เกลื่อป่น 2 ช้อนชา
  11. พริกไทย 2 ช้อนชา 
  12. กระเทียมซอยละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
  13. ซีอิ้วขาว 1 ช้อนชา
  14. น้ำแข็ง (สำหรับเตรียมไว้แช่เส้นสปาเก็ตตี้)
ขอบคุณภาพจาก pixabay
ขอบคุณภาพจาก pixabay

ขั้นตอน และวิธีการทำเมนูผัดสปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศหมูสับ 

  1. เริ่มต้นการทำเมนูอาหารเช้าเองแบบไม่ยาก โดยการใส่น้ำสะอาด ใส่น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ และเกลือป่นเล็กน้อย ลงในภาชนะหม้อ จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดขึ้นตั้งบนเตาเปิดไฟระดับกลาง รอจนน้ำเดือด จากนั้นใส่เส้นสปาเก็ตตี้ลงไป แล้วเริ่มจับเวลา โดยนับตั้งแต่เวลาใส่เส้นลงในน้ำใช้เวลาในการต้ม 9 นาที จะได้เส้นสปาเก็ตตี้ที่มีความสุกพอดี แต่ถ้าใครทำเมนูอาหารเช้าแบบฝรั่งสำหรับคนสูงอายุ ชอบให้เส้นนิ่มสามารถเพิ่มเวลาเป็น 10 -11 นาที (ไม่ควรต้มในขั้นตอนนี้ให้เส้นแฉะเกินไป เพราะเราต้องนำเส้นสปาเก็ตตี้ไปผัดอีก 1 รอบ )
  2. เมื่อต้มเส้นสปาเก็ตตี้ครบตามเวลาที่เราได้ตั้งไว้ ให้เตรียมน้ำสะอาดใส่น้ำแข็งไว้ จากนั้นใช้ตะแกรงช้อนเส้นสปาเก็ตตี้ขึ้นขากหม้อ แล้วเขย่านิดหน่อยให้สะเด็ดน้ำ จากนั้นเทลงน้ำสะอาดผสมน้ำแข็งเพื่อช่วยให้เส้นเหนียมนุ่มอร่อย 
  3. จากนั้นใช้ตะแกรงช้อนเส้นสปาเก็ตตี้ขึ้นมาไว้ในภาชนะว่างเปล่าอีกใบ จากนั้นให้ใส่น้ำมันพืชลงไปในเส้นสปาเก็ตตี้ แล้วใช้อุปกรณ์คีบคลุกเคล้าผสมให้เส้นไม่จับตัวติดกัน 
  4. ตั้งกระทะใบใหญ่ใส่น้ำมันพืชลงไป 2 ช้อนโต๊ะ เปิดไฟระดับกลาง เมื่อน้ำมันร้อนใส่กระเทียมซอยลงไปผัดจนหอม จากนั้นใส่หมูสับลงไปผัด (ขั้นตอนนี้ใช้เวลาไม่นาน ถ้าผัดนานเนื้อหมูจะกระด้างแข็ง)
  5. ใส่ซอสพริก ซอสมะเขือเทศ เกลือป่น น้ำปลา ซีอิ้วดำ ซีอิ้วขาว ผัดจนเครื่องปรุงทุกอย่างซึมเข้าเนื้อหมูสับ
  6. จากนั้นให้ใส่เส้นสปาเก็ตตี้ที่ได้เตรียมไว้แล้วลงไปผัดคลุกเคล้า จากนั้นปรุงรสด้วยพริกไทย น้ำตาลทราย แล้วผัดต่ออีกนิดหน่อย เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนของเมนูอาหารเช้าสปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศหมูสับ 
ขอบคุณภาพจาก pixabay
ขอบคุณภาพจาก pixabay

เคล็ดลับในการทำเมนูสปาเก็ตตี้ผัดซอสมะเขือเทศหมูสับ

  1. หัวใจที่สำคัญที่สุดของการทำเมนูอาหารเช้าแบบฝรั่งคือการลวกเส้นสปาเก็ตตี้ เส้นจะเหนียวนุ่มอร่อย เส้นสปาเก็ตตี้จะติดกันเป็นก้อนหรือไม่ขึ้นอยู่กับวิธีการลวกเส้นเป็นสิ่งสำคัญมาก มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องจับเวลาในการลวกเส้นโดยมาตรฐานสากลแล้วจะใช้เวลาลวกอยู่ที่ 9 นาทีเท่านั้น เส้นที่ได้จะค่อนข้างมีความแข็งนิดหน่อย แต่เมื่อนำเส้นสปาเก็ตตี้ไปผัดอีกรอบหนึ่งกับหมูสับ เส้นที่ได้จะพอดี มีความเหนียวนุ่ม ไม่แฉะจนเกินไป 
  2. การใส่น้ำมันพืช และเกลือในขั้นตอนของการต้มเส้นสปาเก็ตตี้นั้น จะช่วยให้เส้นมีความวาว เส้นไม่แห้ง เส้นมีความชุ่มชื้นดูน่ารับประทาน 
  3. การใช้น้ำแข็งในการแช่เส้นสปาเก็ตตี้นั้นมีความสำคัญมาก ช่วยให้เส้นนั้นนุ่ม เวลาเคี้ยวจะให้ความรู้สึกว่าเส้นสปาเก็ตตี้เด้งสู้ และการใส่น้ำมันพืชนั้นช่วยให้เส้นไม่ติดกันเป็นก้อน ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของเส้นไม่ให้แข็งกระด้าง 
Categories
อาหารไทย

ผัดไทยกุ้งสด คนต่างชาติยังต้องยกนิ้ว อาหารไทยที่พลาดไม่ได้

เมืองไทยนอกจากจะเป็นประเทศที่มีทะเลสวยแล้ว อาหารก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ต่างชาติชื่นชมมาก เพราะมีอาหารที่รสชาติโดดเด่น เข้มข้น มีเอกลักษณ์ มีอาหารหลายอย่างที่โด่งดังไปทั่วโลก เมนูที่ฮอตฮิตติดลมบนมากที่สุดเมนูหนึ่งได้แก่ผัดไทยกุ้งสด ไม่ว่านักท่องเที่ยวชาติไทยก็ตามที่มาทั้งแถบตะวันตก หรือแม้กระทั่งแถบเอเชียด้วยกันเองก็ตาม ถ้ามีโอกาสได้มาเยือนดินแดนเมืองไทย ต้องมารับประทานผัดไทยกุ้งสดให้ได้ เพราะถ้าพลาดถือว่ามาไม่ถึงเมืองไทยเลยก็ว่าได้ 

ผัดไทยกุ้งสดสามารถหารับประทานง่าย มีร้านเปิดจำหน่ายผัดไทยอยู่ทั่วไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวเยอะ อาทิตรอกข้าวสาร นั้นจะค่อนข้างมีร้านผัดไทยกุ้งสดหลายร้านให้เลือกรับประทาน 

ประเทศไทยมีเมนูอาหารที่ถูกปากคนทั่วโลกขนาดนี้ เว็บไซต์ mykitchencook ก็พลาดไม่ได้ที่จะนำเสนอข้อมูลการทำเมนูผัดไทยกุ้งสด สำหรับคนที่สนใจอาหารไทย และโดยเฉพาะคนที่ตั้งใจเรียนรู้เพื่อทำเป็นอาชีพจะเป็นประโยชน์มาก

ขอบคุณภาพจาก pixabay

วัตถุดิบเมนูผัดไทยกุ้งสด

  1. เส้นผัดไทย(เส้นจันทร์) 900 กรัม
  2. เต้าหู้ขาวหั่นแนวยาวสี่เหลี่ยม 1 ถ้วย
  3. ไข่ไก่ 2 ฟอง (เบอร์ 1)
  4. กุ้งสด 4 – 5 ตัว (สามารถใช้กุ้งสดชนิดไหนก็ได้ที่ชอบ)
  5. น้ำมันพืช 4 ช้อนโต๊ะ
  6. หอมแดงหั่นซอย 2 ช้อนโต๊ะ
  7. กระเทียมไทยซอย 1 ช้อนโต๊ะ (เมนูอาหารไทยขาดสิ่งนี้ไม่ได้)
  8. ถั่วงอกสด 1 ถ้วย
  9. ใบกุยช่ายหั่น 1 ถ้วย
  10. ไชโป๊วหวานหั่น 2 ช้อนโต๊ะ 
  11. น้ำสะอาด 5 ช้อนโต๊ะ
  12. กุ้งแห้ง 2 ช้อนโต๊ะ 
  13. ถั่วลิสงคั่วตำหยาบ 2 ช้อนโต๊ะ
  14. พริกป่น 2 ช้อนชา
  15. มะนาว 2 กลีบ 

วัตถุดิบน้ำซอสผัดไทย (สูตรนี้เข้มข้นมาก)

  1. น้ำมะขามเปียกคั้น 5 ช้อนโต๊ะ 
  2. น้ำตาลมะพร้าว (น้ำตาลปี๊บ 5 ช้อนโต๊ะ)
  3. น้ำสะอาด 3 ช้อนโต๊ะ
  4. ซีอิ้วดำ 1/2 ช้อนชา
  5. ซอสพริก 1 ช้อนโต๊ะ
  6. ซอสมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะ
  7. เกลือป่น 1 ช้อนชา
  8. น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
ขอบคุณภาพจาก pixabay

ขั้นตอนการทำน้ำซอสผัดไทยกุ้งสด 

  1. ตั้งกระทะ เปิดไฟอ่อน ใส่น้ำสะอาด น้ำมะขามเปียก น้ำตาลมะพร้าว ผัดจนน้ำตาลละลาย
  2. ใส่ซีอิ้วดำ น้ำปลา เกลือ ซอสพริก ซอสมะเขือเทศ ลงไปผัดจนส่วนผสมทุกอย่างเข้ากัน 
  3. เคี่ยวต่อจนส่วนผสมเริ่มหนืดเหนียว ปิดไฟ แล้วตักพักไว้ 

ขั้นตอน วิธีการทำผัดไทยกุ้งสด 

  1. ตั้งกระทะ ใช้ไฟแรง ใส่น้ำมันพืชนิดหน่อย ใส่กุ้งสดลงไปผัดอย่างรวดเร็ว ไม่ผัดนานเพราะกุ้งจะแข็ง ผัดเสร็จแล้วตักใส่จานพักไว้
  2. ไม่ต้องปิดไฟผัดไข่ไก่ต่อ โดยการตอกไข่ 2 ฟองลงไปผัดพอสุก ไม่ผัดนาน ผัดเสร็จตักขึ้นพักไว้
  3. ปรับไฟระดับปานกลาง ใส่น้ำมันพืช รอจนร้อนใส่กระเทียม หอมแดงซอย (อาหารไทยขาดไม่ได้)ใส่เส้นผัดไทยลงไป ผัดนิดหน่อยพอเส้นผัดไทยยุบให้ใส่น้ำสะอาดลงไป เป็นการผัดแบบซัดน้ำ ผัดจนเส้นเริ่มสุก 
  4. ใส่เต้าหู้ขาวหั่น ไชโป้ว น้ำซอสผัดไทยลงไปผัด ผัดจนเส้นเริ่มแห้งเริ่มแวว จากนั้นใส่กุ้งแห้ง กุ้งสดรวน ไข่รวนที่เตรียมไว้ ใส่ลงไปผัดให้เข้ากัน 
  5. ใส่ใบกุยช่าย ถั่วงอกลงไปผดพอสลบ ไม่ต้องผัดจนเหี่ยว เพียงเท่านี้ก็ได้เมนูอาหารไทยผัดไทยแสนอร่อยไว้รับประทานแล้ว6.วิธีรับประทานผัดไทยกุ้งสด เสิร์ฟพร้อมใบกุยช่าย ปรุงรสเพิ่มด้วยถั่วลิสงคั่วตำหยาบ พริกป่นคั่วตำละเอียด บีบมะนาวใส่ 
ขอบคุณภาพจาก pixabay

เคล็ดลับในการทำเมนูผัดไทยกุ้งสดให้อร่อย

  1. วัตถุดิบที่ใช้ทำน้ำซอส สำหรับอาหารไทยนั้นต้องใช้น้ำตาลมะพร้าวแท้ จะมีความหวานแบบกลมกล่อม ไม่หวานแหลม
  2. เส้นผัดไทยต้องเป็นเส้นจันทร์เท่านั้น เพราะจะเป็นเส้นที่นำมาผัดแล้วเหนียวนุ่มไม่แฉะ 
  3. พริกป่น ถั่วลิสงคั่ว ต้องคั่วสดใหม่ห้ามคั่วทิ้งไว้ข้ามคืนเด็ดขาด จะอร่อยหอมมาก 



ไอเดียนำความรู้การทำเมนูผัดไทยกุ้งสดต่อยอด

  1. เมื่อฝึกทำผัดไทยกุ้งสดจนชำนาญแล้ว สามารถเปิดร้านขายผัดไทย และต่อยอดแตกไลน์อาหาร เป็นเมนูอาหารไทยอื่น ๆ ได้
  2. คิดสูตรน้ำซอสผัดไทยขึ้นมาเป็นสูตรของตัวเองที่มีรสชาติโดดเด่น มีเอกลักษณ์ แล้วทำน้ำซอสำเร็จรูปจำหน่าย
  3. ทำคอร์สเรียนทำผัดไทยสอนให้กับคนที่สนใจ ช่องทางนี้ทำคอร์สครั้งเดียว และสร้างรายได้ระยะยาว