Categories
ขนมไทย

“ขนมช่อม่วง” ขนมไทยโบราณหากินยาก

“ขนมช่อม่วง” ขนมไทยโบราณหากินยาก

     เมนูขนมไทยหากินยากวันนี้นำเสนอเมนู ขนมช่อม่วง ขนมที่ดูสวยงามแต่ซ่อนรสอร่อยสัมผัสนุ่มละมุนอย่างขนมช่อม่วงนี้เหตุที่ค่อนข้างหาทานยากเพราะเป็นขนมที่ค่อนข้างใช้เวชาในการทำ ต้องทำด้วยความปราณีตจริงๆ จับกลีบต้องสวยและดีจึงจะเป็น ขนมไทย แท้ๆสมคำล่ำลือ โดยขนมช่อม่วงในสมัยก่อนจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นขนมของผู้ดี เพราะมีวิธีการทำที่ปราณีตและสวยงามบางบ้านอาจใช้เป็นอาหารรับแขกเพราะมีหน้าตาสวยงามสมกับฐานะของผู้อยู่เรือนนั่นเอง

วัตถุดิบที่ใช้ในการทำ “ขนมช่อม่วง”

     สำหรับวัตถุดิบที่ใช้ในการทำ ขนมช่อม่วง นั้นก็หาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไปและที่สำคัญยังใช้วัตถุดิบเพียงไม่กี่อย่างในการทำ แม้ขนมช่อม่วงจะดูเป็นขนมทำยากแต่ความเป็นจริงถือเป็นอีกหนึ่งขนมที่ทำง่ายไม่ซับซ้อนเพียงต้องมีความปราณีตเพื่อให้ขนมดูสวยงามสมบูรณ์ทั้งรสชาติและหน้าตานั่ยเองค่ะ สำหรับ สูตรขนม ทำง่ายนี้แนะนำคนที่ชอบทานขนมช่อม่วงแต่ดูจะหาทานยากลองทำไว่ทานเป็นของหวานตบท้ายหรือจะเอาไว้ทานเป็นของว่าก็ว่าเป็นของหวานชิ้นเลิศไปเลยจ้า

สัดส่วนและส่วนผสม

  1. แป้งข้าวจ้าว 1 ถ้วยตวง
  2. แป้วท้าวยายม่อม 1 ช้อนโต๊ะ
  3. แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ
  4. แป้งข้าวเหนียว 1 ช้อนโต๊ะ
  5. น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
  6. เกลือ ¼ ช้อนชา
  7. น้ำเปล่า 2/3 ถ้วยตวง
  8. น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
  9. หมูสับ ¼ ถ้วยตวง
  10. รากผักชี กระเทียม พริกไทย 1 ช้อนโต๊ะ
  11. หอมใหญ่ ¼ ถ้วยตวง
  12. ไชโป๊หวาน ¼ ถ้วยตวง
  13. น้ำตาลปี๊บ 3 ช้อนโต๊ะ
  14. หอมเจียว 1 ช้อนโต๊ะ
  15. ถั่วลิสงป่นหยาบ ¼ ถ้วยตวง

ขั้นตอนและวิธีการทำ “ขนมช่อม่วง”

     ขั้นตอนในการทำ ขนมช่อม่วง ก่อนจะได้อาหารรสสัมผัสดีก็ทำออกมาด้วยใจเสียก่อน ขนมจะอร่อยอยู่ที่การใส่ใจ ใส่ใจในการคอยดู ใส่ใจในการปั้น ทุกๆอย่างคือองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ ขนมหวาน ที่เราพูดถึงถูกขึ้นชื่อว่าเป็นขนมไทยโบราณนั่นเองค่ะ

ขั้นตอนการทำขนมช่อม่วง

  1. นำสามเกลอมาผัดจนหอมแล้วตามด้วยหมูสับผัดให้เข้ากันจนสุกเล็กน้อยแล้วปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำตาล เกลือ และไส่ไชโป๊หวานลงไปผัดจนสุกแห้งดีจากนั้นพักไว้
  2. นำอัญชันมาต้มแล้วกรองเอาแต่น้ำจากนั้นบีบมะนาวลงไปให้เป็นสีม่วง หรือจะใช้เป็นสีผสมอาหารก็ได้
  3. นำแป้งทั้งหมดมาใส่รวมกันแล้วนำน้ำอัญชันผสมลงไปจากนั้นปรุงรสด้วยเกลือและน้ำตาลเล็กน้อยและกวนจนแป้งสุดใสดี
  4. นำแป้งมานวดต่อและจับห่อใส่หมูที่เราผัดไว้แล้วจับกลีบ
  5. นำขึ้นนึ่งในซึงและพรมน้ำก่อนนึ่งหลังนึ่งก็ต้องพรมน้ำและใส่น้ำมันกระเทียมเจียวเพื่อให้หอมมันไม่ติดกันนั่นเองค่ะ
  6. เสร็จแล้วยกลงตักใส่ภาชนะพร้อมเสิร์ฟได้เลยอาจทสนคู่ไปกับพริกแดงและผักชีเพื่อเพิ่มความหอมอร่อยก็สามารถทานได้เลยจ้า

 

 

 

เว็บบอล

Categories
ขนมไทย

“ขนมใส่ไส้” สูตรนุ่มลิ้นละมุนปาก

“ขนมใส่ไส้” สูตรนุ่มลิ้นละมุนปาก

     สำหรับ ขนมใส่ไส้ ถือเป็นขนมโบราณที่หาทานแบบอร่อยๆยากจริงๆสำหรับเมนูนี้เนื่องจากการทำขนมใส่ไส้จะต้องมีความเข้าใจในเรื่องของสัดส่วนของขนมไม่เช่นนั้นจะทำให้ได้รับรสสัมผัสที่ไม่อร่อยจริงแท้แบบที้เรียกว่าต้องขัดใจกันเลยทีเดียว โดยทั่วไป ขนมไทย มักจะต้องใช้เวลาในการทำและมีความพิถีพิถันสักหน่อยเพื่อให้ได้คุณภาพในขนมมากขึ้นนั่นเองขนมไทยอย่างขนมใส่ไส้ที่เราจะนำเสนอในวันนี้ได้มีการศึกษา สูตรขนม มาอย่างดีและครบถ้วนซึ่งหากใครที่ชอบทานแต่ก็ดันไปเจอแต่ร้านไม่อร่อยแนะนำให้ลองเข้าครัวฝึกฝนและทำตามสูตรที่จะนำเสนอนี้ได้เลยค่ะ


วัตถุดิบที่ใช้ในการทำ “ขนมใส่ไส้”

     สำหรับวัตถุดิบที่ใช้ในการทำ ขนมใส่ไส้ นั่นสามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาดและที่ขาดไม่ได้เลยเพราะเป็นเรื่องของของหวานที่จะต้องมีคือกะทิ ในการใช้กะทินั้นบอกได้คำเดียวว่าสำคัญมากและอีกอย่างหากเป็นกะทิที่คั้นสดๆเลยจะยิ่งทำให้ ของหวาน หวานกลมกล่อมแบบที่ดึงดูดความหอมมันด้วยกะทินั่นเองค่ะสำหรับวัตถุดิบที่ใช้ก็มีไม่มากหาซื้อได้ง่าย และสามารถจัดเตรียมวัตถุดิบได้เลยดังนี้

สัดส่วนและส่วนผสม

  1. น้ำตาลปี๊บ 200 กรัม
  2. เกลือป่น ½ ช้อนชา
  3. เกลือป่น 1 ช้อนชา (สำหรับใส่กะทิ)
  4. มะพร้าวทึนทึกขูด
  5. แป้งข้าวเหนียว 350 กรัม
  6. น้ำใบเตยปั่นละเอียด 300 มิลลิลิตร
  7. กะทิ 800 มิลลิลิตร
  8. แป้งข้าว 80 กรัม
  9. ไม้จิ้มฟันสำหรับกลัด
  10. ใบตองเช็ดแห้งสะอาด

ขั้นตอนและวิธีการทำ “ขนมใส่ไส้”

     สำหรับขั้นตอนและวิธีในการทำ ขนมใส่ไส้ นั้นก็ไม่ยากจนเกินความสามารถใครเพียงแค่มีเวลาและใจเย็นกับการทำขนมเพียงเท่านี้ก็จะสามารถได้ ขนมอร่อยๆ แบบฟินๆกันไปเลยจ้าขั้นตอนในการทำก็ไม่ยากอาจใช้เวลาและแรงบ้างแต่ผลตอบรับ รับรองว่าคุ้มเป็นแน่นอนค่ะสำหรับเมนูอร่อยๆนี้


วิธีทำขนมใส่ไส้

  1. นำใบตองที่สำหรับห่อมาตัดเป็น 2 ขนาด ฉีกใบตองชั้นนอก 5 นิ้ว และสำหรับชั้นใน 4 นิ้ว และนำมาตัดมุมให้เป็นทรงวงรี เช็ดให้สะอาด และนำไปลนไฟเล็กน้อยเพื่อให้ห่อขนมได้ง่าย
  2. นำมะพร้าวทึนทึกที่ขูดเป็นเส้นยาว เกลือป่น และน้ำตาลปี๊บ ลงไปกวนในกระทะทองเหลือง ใช้ไฟอ่อน กวนไปเรื่อยๆ จนครบ 20 นาที จนส่วนผสมแห้ง จากนั้นก็ปิดไฟพักไว้ให้เย็น
    ผสมแป้งข้าวเหนียวและน้ำใบเตยเข้าด้วยกัน นวดแป้งจนเริ่มเป็นก้อน เสร็จแล้วให้คลุมด้วยพาสติกแรป
  3. นำกะทิ 1/4 ของกะทิทั้งหมดผสมกับแป้งข้าวเจ้า เกลือป่น กลิ่นมะลิ ลงไปในกระทะ คนให้เข้ากันจนแป้งไม้จับตัวกันเป็นเม็ด แล้วค่อยเติมกะทิส่วนที่เหลือลงไป เปิดไฟอ่อนๆ และคนไปเรื่อยๆ จนกะทิเหนียวข้น ปิดไฟพักไว้ให้เย็น
  4. เมื่อตัวไส้เริ่มเย็นดีแล้ว ปั้นไส้ให้เป็นก้อนกลมๆ ขนาด 1 นิ้ว จนหมด และปั้นตัวแป้งเป็นก้อนกลมขนาดใหญ่กว่าตัวไส้เป็น 1 นิ้วครึ่ง แผ่แป้งให้แบนวางไส้ลงตรงกลาง และห่อไส้ขนมให้มิด
  5. เตรียมใบตองสำหรับห่อ นำใบตอง 2 ขนาดที่ตัดไว้เป็นวงรีมาประกบกัน นำหน้านวลทั้ง 2 แผ่น ชนกัน
    นำขนมที่ปั้นไว้วางลงบนใบตอง และราดด้วยน้ำกะทิ 1 ช้อนโต๊ะ และพับใบตองให้เป็นทรงสูง คาดทับด้วยใบมะพร้าวและคาดด้วยไม้กลัด
  6. นึ่งในน้ำเดือดจัดประมาณ 30 นาที พักไว้ให้เย็นก่อนเสิร์ฟ

 

 

เว็บบอล

Categories
ขนมไทย

“บัวลอยไข่หวาน” สูตรธรรมชาติ

“บัวลอยไข่หวาน” สูตรธรรมชาติ

สำหรับคนทานขนมไทยจะทราบกันดีเลยค่ะว่า บัวลอยไข่หวาน โดยทั่วไปจะทำโดยวิธีการนำสีผสมอาหารมาผสมเพื่อให้เกิดสีสวยงามตามที่ต้องการ แต่สำหรับบัวลอยไข่หวานที่จะนำเสนอในวันนี้นอกจากจะสีสวยงามยังคงเป็น ขนมที่มีประโยชน์ และทานง่ายอีกด้วยใช้วัตถุดิบในการผสมแป้งด้วยพืชต่างๆตามที่ต้องการอาทิเช่น ฟักทอง ใบเตย มันม่วง เป็นต้น

วัตถุดิบที่ใช้ในการทำ “บัวลอยไข่หวาน”

สำหรับวัตถุดิบที่ใช้ในการทำ บัวลอยไข่หวาน ที่จะนำเสนอนี้สามารถหาได้ง่ายตามท้องตลาดและมีราคาไม่แพงแถมสามารถเลือกหาพืชที่ต้องการนำมาใช้ได้ด้วยความชอบของสีต่างๆ อาทิเช่น ใบเตยจะให้สีเป็นสีเขียว ฟักทองจะให้สีเป็นสีเหลือง มันม่วงจะให้สีเป็นสีม่วง อัญชันจะให้สีเป็นสีฟ้า ซึ่งเป็น ขนมไทยทำง่าย ที่ทำกินเองได้ที่บ้านและอร่อยถูกปากเด็กกินได้ผู้ใหญ่กินดีอีกด้วยจ้า

สัดส่วนและส่วนผสม

  1. แป้งข้าวเหนียว 500 กรัม
  2. น้ำตาลปึก 1 ถ้วยตวง
  3. เกลือ 1 หยิบมือ
  4. กะทิ 5 ถ้วยตวง
  5. ไข่ไก่ ตามชอบ
  6. ฟักทอง 1 ถ้วยตวง
  7. มันม่วง 1 ถ้วยตวง
  8. น้ำใบเตย 1 ถ้วยตวง
  9. น้ำอัญชัน 1 ถ้วยตวง

ขั้นตอนและวิธีการทำ “บัวลอยไข่หวาน”

สำหรับขั้นตอนและวิธีในการทำ บัวลอยไข่หวาน ถือเป็นอะไรที่ง่ายดายไม่ยุ่งยากไม่ซับซ้อน เนื่องจากเป็นขนมไทยโบราณที่มีมาแต่สมัยบรรพบุรุษและเป็นขนมที่ค่อนข้างจะต้องมีเวลามีความปราณีตในการปั้นตัวของบัวลอยให้ออกมาสวยงามหน้ารับประทาน โดยทั่วไปตัวของบัวลอยแบบดั้งเดิมจะไม่มีรสชาติใดๆ แต่จะมีรสชาติของกะทิออกไปทานหวานและตัดเค็มนิดหน่อย ซึ่งเป็น ขนมไทยโบราณ ที่อร่อยทำง่ายเพียงมีเวลาและเข้าใจวิธีการทำเท่านั้นเองค่ะ

ขั้นตอนในการทำ บัวลอยไข่หวาน

  1. นำแป้งข้าวเหนียวมาแบ่งใส่ชามให้เท่าๆ จากนั้นนำ ฟักทอง และมั่นม่วงไปทำการนึ่งเป็นเวลา 15 นาทีหรือจนกว่าจะสุกนิ่มดี แล้วนำมาบดจนละเอียด จากนั้นนำใบเตยมาตัดเป็นไปแล้วทำการตำหรือหากบางบ้านมีเครื่องปั่นก็ใช้ได้เช่นกันจากนั้นกรองเอาน้ำใบเตย ส่วนอัญชัญให้ทำการต้มจนสีออกมาแล้วทำการกรองหากอยากได้สีที่สวยขึ้นให้บีบมะนาวลงเล็กน้อย 
  2. เมื่อเตรียมแป้งและส่วนผสมของสีจากพืชเรียบร้อยให้ทำการค่อยๆผสมลงไปจนเป็นเนื้อเดียวกันและนวดจนนิ่มดีไม่มีติดมือเป็นใช้ได้ จากนั้นทำการปั้นเป็นรูปตามที่ต้องการได้เลยค่ะ
  3. ทำการตั้งน้ำและใส่บัวลอยลงไปหากสุกดีเค้าจะลอยตัวขึ้นเหนือน้ำให้ตักน็อคน้ำเย็นได้เลย
  4. ทำการตั้งหม้อใส่กะทิลงไปหมั่นคนจากนั้นใส่ใบเตย พร้อมกับปรุงรสด้วยน้ำตาลปรึกและเกลือเล็กน้อยเมื่อกะทิร้อนเดือดให้ปิดไฟยกลงจากเตาและตักราดบัวลอยจากนั้นหากอยากกินไข่หวาน ให้ทำการตอกไข่ใส่ลงไปในหม้อของน้ำต้มบัวลอยค่อยๆตะล่อมจนสุกตามที่ต้องการก็ตักขึ้นพร้อมเสิร์ฟได้เลยจ้า

 

 

 

เว็บบอล

Categories
ขนมไทย

สังขยาฟักทอง ขนมไทยทำง่าย อร่อย เนื้อเนียนนุ่ม

สำหรับใครที่ชื่นชอบการรับประทานเมนูขนมไทยโบราณ และอยากลองลงมือทำเองดูสักครั้ง วันนี้เราจะมานำเสนอ ขนมหวานไทยที่ทำได้ง่าย ผ่านวิธีการทำเพียงไม่กี่ขั้นตอนเท่านั้น อีกทั้งยังให้ประโยชน์ต่อร่างกายอย่างหลากหลาย นั่นก็คือ เมนูขนมไทย สังขยาฟักทอง เรียกได้ว่าเป็นขนมไทยยอดนิยมอีกชนิดหนึ่ง ด้วยความที่มีรสชาติอร่อย เนื้อเนียนนุ่ม และหอมกลิ่นใบเตย

สำหรับผลไม้พื้นบ้านของไทยอย่าง ฟักทอง เชื่อว่าหลายคนรู้จักและคุ้นเคยกับผลไม้ชนิดนี้กันเป็นอย่างนี้ เรียกได้ว่าเป็นผลไม้ที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบหลักของเมนูอาหารไทยหลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นอาหารคาว และอาหารหวาน อีกทั้งยังมีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย ยกตัวอย่างเช่น บำรุงผิวพรรณ ช่วยในการลดน้ำหนัก ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง เป็นต้น สำหรับใครที่อยากเข้าครัวลองทำทานเองสักครั้ง ในวันนี้เราก็ได้นำสูตรการทำ สังขยาเนื้อเนียน มาแนะนำให้ทุกคนไปลองทำตามกันแล้ว

ความเป็นมาของเมนูขนมไทย สังขยาฟักทอง

ถือว่าเป็น ขนมหวานไทย โบราณที่อยู่เคียงข้างคนไทยมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยโบราณ และได้รับความนิยมมาจนถึงในยุคปัจจุบันนี้ ก่อนที่เราจะไปจดสูตรขนมกัน เราขอพาทุกคนมารู้จักความเป็นมาของ ขนมไทยยอดนิยมชนิดนี้กันก่อน ขนมสังขยาเป็น ขนมไทย ที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศโปรตุเกส ซึ่งทำมาจากคัสตาร์ด ต่อมาประเทศไทยได้รับสูตรคัสตาร์ดขนมจากต่างประเทศ มาประยุกต์ปรุงแต่งใหม่เป็นขนมของประเทศไทยจากท้าวทองกีบม้า

สูตรเดิมของสังขยาหรือคัสตาร์ดจากต่างประเทศนั้น จะนิยมใช้วัตถุดิบหลักเป็นนมวัว แต่เมื่อนำมาดัดแปลงมาทำเป็น ขนมไทย จึงได้ใช้กะทิเป็นส่วนผสมแทนทำให้มีรสชาติที่แตกต่างไป และมีหลากหลายรสชาติ ไม่ว่าจะเป็นสังขยาใบเตย สังขยาไข่ สังขยาไส้มันม่วง สังขยาไส้มะพร้าว ข้าวเหนียวสังขยา และสังขยาไส้ฟักทอง ที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน หากใครอยากลองทำขนมโบราณยอดนิยมนี้กันแล้ว ไปเตรียมวัตถุดิบกันเลย



วัตถุดิบหลักของเมนู สังขยาฟักทอง

วัตถุดิบในการทำสังขยานั้น ก็สามารถหาซื้อได้ง่าย ๆ ตามท้องตลาด โดยวัตถุดิบหลัก ๆ สำหรับการทำขนมสังขยาไส้ฟักทอง ก็มีเพียงแค่ไม่กี่อย่าง ดังนี้

  1. ฟักทองแก่ 1 ลูก คว้านเนื้อด้านในออก
  2. ไข่ไก่ 2 ฟอง
  3. ไข่เป็ด 2 ฟอง
  4. หัวกะทิ 100 มิลลิลิตร
  5. น้ำตาลโตนด 500 กรัม
  6. เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
  7. น้ำตาลปี๊บ 150 กรัม
  8. ใบเตยสด 3 ใบ

วิธีทำ สังขยาฟักทอง ขนมหวานทำง่าย

อย่างที่เราได้เกริ่นนำตั้งแต่แรกกันไปแล้วว่าการ ทําสังขยาฟักทอง ขนมไทยโบราณยอดนิยมนั้น สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยตนเองที่บ้าน เนื่องจากมีวัตถุดิบที่หาซื้อได้ง่าย และใช้อุปกรณ์ในการทำเพียงไม่กี่อย่าง เพราะฉะนั้นมือใหม่หัดเข้าครัวก็สามารถทำตามสูตร ที่เรานำมาแนะนำในบทความนี้กันอย่างสบาย ๆ เลย ถ้าอยากรู้แล้วว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ไปดูกันเลย

  1. วิธีทําสังขยาฟักทอง ขั้นตอนแรกให้เริ่มโดยการ คว้านไส้ฟักทองด้านในและเมล็ดออกให้หมด จากนั้นนำไปล้างน้ำให้สะอาด แล้วมาเตรียมส่วนผสม
  2. เตรียมชามผสมใส่ไข่ไก่ ไข่เป็ด หัวกะทิ น้ำตาลโตนด เกลือป่น น้ำตาลปี๊บ และใบเตยสดลงไปขย้ำให้เข้ากันด้วยมือ จากนั้นนำมากรองผ้าขาวบาง และนำไปเทใส่ลูกฟักทองที่เตรียมไว้ โดยเหลือขอบฝาไว้
  3. ตั้งหม้อนึ่งใช้ไฟแรง นำลูกฟักทองลงไปนึ่ง ใช้ระยะเวลาประมาณ 30 นาที ระหว่างนี้ให้คอยเปิดดูเป็นระยะทุก ๆ 15 นาที เพื่อให้ขนมมีเนื้อเนียน
  4. เมื่อสุกแล้วให้นำออกจากหม้อนึ่ง แล้วนำมาตัดผ่าครึ่ง เพียงเท่านี้ก็ได้เมนูสังขยาไส้ฟักทอง ของหวานไทย แสนอร่อยพร้อมทานกันแล้ว

สังขยาฟักทอง เมนูขนมไทยที่ควรอนุรักษ์

นอกจากจะเป็นขนมไทยที่มีรสชาติหวาน มัน อร่อยแล้ว ยังถือว่าเป็นขนมไทยโบราณที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ให้อยู่คู่คนไทยไปอย่างยาวนาน เนื่องจากเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับผลไม้พื้นบ้านของไทยเรา และสำหรับใครที่อยากอนุรักษ์ขนมไทยชนิดนี้ไว้ และกำลังมองเมนูขนมไทยทำทานที่บ้าน สามารถนำสูตรขนมที่เรานำมาแบ่งปัน ไปทำทานกันหรือจะทำขายก็ทำได้อย่างง่าย ๆ แถมกำไรดีอีกด้วย

Categories
ขนมไทย

ขนมไทยเพชรบุรี จังหวัดที่มีแต่ความหวาน และขนมอร่อย

สำหรับประเทศไทย ในแต่ละจังหวัดแต่ละภูมิภาค ย่อมมีเอกลักษณ์และจุดเด่นแตกต่างกันออกไป แต่ในเรื่องจุดเด่น และราชาของขนมไทย ขนมหวานนั้น ไม่มีจังหวัดไหนเทียบชั้นกับจังหวัดเพชรบุรีได้เลย จนทำให้ภาพจำของจังหวัดเพชรบุรีนั้นคือขนมหวาน ถึงขนาดที่ว่ามีคำกล่าวที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ นั่นคือ นึกถึงความหวานให้นึกถึงเพชรบุรี 

ที่มาของความหวานนั้นก็ไม่ได้เล่น ๆ แต่ด้วยเพราะว่าดินแดนเพชรบุรีนั้นเป็นแหล่งของผลตาลโตนดซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของการทำน้ำตาลโตนดนั่นเอง จึงเป็นที่มาของราชาความหวานนั่นเอง สำหรับใครที่อยากจะไปท้าพิสูจน์ความหวานของขนมไทยเพชรบุรีนั้น สามารถขับรถไปตามเส้นทางเพชรเกษมได้เลย จะพบร้านขายขนม ของฝากเต็มสองข้างทาง รับรองได้ว่าถูกใจสาวกสายหวานอย่างแน่นอน 

ขอบคุณภาพจาก pixabay

ขนมไทยหม้อแกงถั่ว เตรียมวัตถุดิบในการทำนั้นไม่ยากอย่างที่คิด 

1.ถั่วเหลืองลอกเปลือกแล้ว 2 ถ้วยตวง 

2.ไข่ไก่เบอร์ 2 5 ฟอง (สามารถใช้ไข่เป็ดแทนได้ตามสูตรขนมไทยสมัยก่อน) 

3.หัวกะทิ 1.5 ถ้วยตวง 

4.น้ำตาลมะพร้าว 400 กรัม (เมนูของหวานไทยโบราณต้องใช้ ขาดไม่ได้)

5.เกลือป่น 1 ช้อนชา 

6.หัวหอมแดงซอย 1 ถ้วยตวง

7.น้ำมันพืช 1.5 ถ้วยตวง 

8.น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ

ขั้นตอน และวิธีการทำ ขนมชื่อดังเพชรบุรี ขนมหม้อแกงถั่ว

1.ขนมไทยเมนูขนมหม้อแกงถั่ว เริ่มจากการเตรียมแช่ถั่วเหลืองในน้ำสะอาด 8 -10 ชั่วดมง จากนั้นลอกเปลือกออกให้หมด นำมาปั่นในเครื่องปั่นแบบหยาบ (ไม่ปั่นจนละเอียด)

2..ตั้งน้ำมันให้ร้อน ใส่หอมแดงซอยลงไปเจียวจนกรอบหอม ตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำ 

2.ผสมส่วนผสมดังนี้ลงเครื่องผสมอาหาร ไข่ไก่ หัวกะทิ น้ำตาลทราย น้ำตาลมะพร้าว เกลือป่น น้ำมันกระเทียมเจียวนิดหน่อย ใช้ระดับความแรงในการผสมระดับ 2 ใช้เวลาประมาณ 5 -10 นาที 

3.ผสมถั่วเหลืองบด กับส่วนผสมที่ผสมในเครื่องผสมอาหาร จากนั้นนำลงไปกวนด้วยไฟระดับอ่อนอีกหนึ่งรอบ 

4.ใช้เวลาในการกวนส่วนผสมทั้งหมดประมาณ 10 – 20 นาที (กวนแค่พอจับตัว) 

5.เปิดตู้อบเตรียมไว้ 15 นาที ปรับไฟที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ไม่เปิดพัดลม เปิดเฉพาะไฟล่าง ยังไม่เปิดไฟบนตอนนี้ 

6.เตรียมถาดสำหรับอบ โดยการใช้แปรงทาน้ำมันเจียวหอมแดงทาทั่วทั้งถาด นำส่วนผสมที่กวนเสร็จแล้วใส่ในถาด โดรยด้วยหอมแดงเจียว เกลี่ยให้เสมอกัน จากนั้นนำเข้าไปอบในตู้อบใช้เวลา 40 นาที 

7.เมื่อขนมหม้อแกงถั่วใกล้สุก ให้ปิดไฟล่างของตู้อบ เปลี่ยนเป็นเปิดไฟบนแทนเพื่อให้หน้าเป็นเงาฟิล์มสวยงามแวววาว จากนั้นนำลงมาพักด้านนอก รอจนเย็นจึงทำการตัดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมจัตุรัสสวยงาม เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำเมนูขนมหวานไทยโบราณ ขนมชื่อดังเมืองเพชร ขนมหม้อแกงถั่วแล้ว 

ขอบคุณภาพจาก pixabay

Categories
ขนมไทย

ขนมไทยโบราณ ยุคสมัยเปลี่ยนไป แต่ความนิยมนั้นไม่เคยลดลงเลย

สำหรับขนมไทยโบราณนั้นเป็นขนมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ขนมไทยโบราณส่วนใหญ่จะมีวัตุดิบหลักเป็นน้ำตาลมะพร้าว กะทิ แป้ง โดยเพิ่มวัตถุดิบพืช ผลไม้ต่าง ๆ อย่างอื่นหาได้ทั่วไปในท้องถิ่นตามฤดูกาล เช่นกล้วย หัวเผือก หัวมัน ดัดแปลงเป็นเมนูขนมไทยได้มากมาย 

และในปัจจุบันนี้เราจะค่อนข้างเห็นขนมไทยในสไตล์ร่วมสมัย หรือขนมไทยแนวฟิวชั่นอยู่มากพอสมควร ขนาดการบรรจุอาจจะไม่ใหญ่โตเท่าขนในสมัยอดีต เพราะเน้นความง่ายความสะดวกใยการรับประทาน อีกทั้งความเข้มข้นเรื่องรสชาติความหวานนั้นก็ไม่หวานจนเกินไป 

เรียกได้ว่าเป็นการผสมผสานขนมไทยในยุคโบราณ และยุคสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว และสิ่งที่น่าแปลกใจนั่นนก็คือขนมไทยโบราณนั้นยังคงได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่ไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะเมนูที่หาประทานยากเพราะมีเฉพาะช่วงฤดูกาลที่มีผลผลิตของผลไม้ที่นำมาเป็นวัตถุดิบนั่นเอง อาทิ ขนมกลอย ขนมลูกตาล เป็นต้น

ขอบคุณภาพจาก pixabay

ขนมไทย วัตถุดิบเมนูขนมลูกตาล อร่อยกลมกล่อม หอมกลิ่นลูกตาลแท้ 

1.เนื้อตาลยี 1 ถ้วยตวง 

2.น้ำตาลมะพร้าว 300 กรัม (เมนูขนมไทยขนมลูกตาลไม่นิยมใช้น้ำตาลทราย)

3.แป้งข้าวเจ้า 250 กรัม 

4.แป้งเค้ก 250 กรัม 

5.แป้งสาลี 100 กรัม 

6.เกลือป่น 2 ช้อนชา 

7.ยีสต์ชนิดแห้ง 10 กรัม

8.น้ำกะทิคั้น 500 มิลลิลิตร 

9.มะพร้าวขูด 2 ถ้วยตวง (สำหรับแต่งหน้า)

8.ถ้วยกระทางใบตอง 15 – 20 ใบ (สำหรับเมนูของหวานไทยโบราณจะนิยมใช้กระทง)

9.น้ำสะอาด 1000 มิลลิลิตร (สำหรับแช่ลูกตาล)

ขั้นตอน วิธีการทเมนูขนมลูกตาล ขนมไทยหารับประทานยาก

1.เริ่มจากการนำลูกตาลมาปลอกเปลือกออกนำไปแช่น้ำจนเปื่อย(ชื่อของหวานไทย ๆ มีที่มาจากชื่อของวัตถุดิบที่นำมาทำ) จากนั้นใส่ถุงมือแล้วทำการยีคั้น บีบให้ได้เนื้อลุกตาล แล้วกรองด้วยผ้าข้าวบางอีกหนึ่งครั้ง ทิ้งไว้ประมาณ 5 – 8 ชั่วโมง เพื่อให้เนื้อลูกตาลผ่านการกรองอย่างสมบูรณ์ 

2.ร่อนแป้งสาลี แป้งเค้ก แป้งข้าวเจ้า ผสมเนื้อตาลลงไป แบ่งน้ำกะทิใส่ทีละน้อยจนหมด ตามด้วยน้ำตาลมะพร้าว คลุกเคล้าให้เข้ากัน จะได้เนื้อแป้งที่ค่อนข้างหนืด 

3.ขนมไทยลูกตาลนี้จะใส่เกลือป่นทีหลัง ป้องกันเนื้อแข็ง ยีสต์แห้งลงไป แล้วคนให้ส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันอีกครั้ง ถ้าแป้งยังเป็นเม็ดให้คนจนแป้งนวลเนียน

4.พักแป้งไว้ 1 – 3 ชั่วโมง โดยใช้ฝาหม้อปิด หรือแผ่นพลาสติกใส่ปิด 

5.เมื่อพักแป้งลูกตาลได้ที่ ลักษณะของแป้งจะเกาะตัวกันเป็นแผ่นฟิล์ม และเนื้อแป้งเป็นเม็ด ถือว่าปกติ ให้ใช้ไม้พายคนให้ส่วนผสมทุกอย่างเข้ากัน 

6.ตักแป้งใส่กระทงใบตรองที่เตรียมไว้ปริมาณ ไม่ใส่ล้น ใส่เพียง 3/4 ตามด้วยโรยมะพร้าวขูดแต่งหน้า เตรียมตั้งซึ้งนึ่งขนมตาล 

7.เมื่อน้ำเดือดยกซึ้งกระทงขนมลูกตาลขึ้นซึ้ง ปิดฝาให้สนิท ใช้เวลานึ่ง 20 นาที เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร้จพิธีขนมไทยลุกตาลแสนอร่อยแล้ว 

ขอบคุณภาพจาก pixabay

Categories
ขนมไทย

น้ำเต้าหู้ เมนูอาหารเช้า รับประทานง่าย ประโยชน์มหาศาล

น้ำเต้าหู้ จัดได้ว่าเป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่มีคุณค่าทางโภชนาการมหาศาล วัตถุดิบหลักของน้ำเต้าหู้นั้นคือถั่วเหลืองซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนชนิดที่ร่างกายต้องการ สำหรับคนที่รับประทานอาหารประเภทมังสวิรัติสามารถดื่มน้ำเต้าหู้เพื่อเพิ่มโปรตีนให้ร่างกายได้ น้ำเต้าหู้นั้นถ้าจะรับประทานแบบได้ประโยชน์เต็ม ๆ ดีต่อสุขภาพจะต้องไม่ใส่น้ำตาล เพราะการรับประทานหวานนั้นในระยะยาวจะส่งผลไม่ดีนักต่อสุขภาพ 

สำหรับในประเทศไทยนั้นสามารถหาซื้อน้ำเต้าหู้รับประทานได้ไม่ยาก แต่จะต้องหาซื้อรับประทานในช่วงเช้า หรือช่วงเย็นจะมีขายมากมายโดยเฉพาะตลาดนัด และจะเกิดประโยชน์ต่อร่างกายที่สุดถ้าได้ทำ น้ำเต้าหู้ รับประทานเองสด ๆ ด้วยตัวเอง เพราะใช้วัตถุดิบไม่มาก ขั้นตอนการทำง่ายมาก ๆ 

ขอบคุณภาพจาก pixabay

วัตถุดิบ ส่วนผสมการทำเมนู น้ำเต้าหู้

1.เม็ดถั่วเหลืองซีก 200 กรัม

2.น้ำสะอาด 2000 มล.

3.น้ำตาลทราย (สำหรับคนที่ชอบน้ำเต้าหู้รสหวานสามารถใส่ได้)

ขอบคุณภาพจาก pixabay

ขั้นตอน วิธีการทำ พร้อมเคล็ดลับทำเมนู น้ำเต้าหู้

  1. ขั้นตอนแรกเริ่มจากการล้างถั่วเหลืองซีกให้สะอาด แล้วนำมาแช่น้ำทิ้งไว้ 10 ชั่วโมง (แช่ข้ามคืน)
  2. แช่ถั่วเหลืองครบตามระยะเวลาแล้ว ให้นำถั่วเหลืองมาล้างอีก 3 รอบจนสะอาดอีกครั้ง
  3. ใส่ถั่วเหลืองลงนึ่งในซึ้งนึ่ง ใช้เวลานึ่งประมาณ 40 – 50 นาที (นึ่งจนถั่วเหลืองนิ่ม) นึ่งได้ที่ตักลงมาพัก 
  4. นำถั่วเหลืองนึ่งที่พักเย็นแล้วให้นำมาปั่นในเครื่องปั่น โดยทยอยแบ่งปั่นทีละน้อย พร้อมใส่น้ำเพื่อป้องกันความฝืดขณะปั่น (น้ำทั้งหมดที่ใช้ในการผสมปั่นถั่วเหลืองใช้ 1,500 มล. จากปริมาณน้ำที่เตรียมไว้ 2,000 มล.
  5. ปั่นถั่วเหลืองจนละเอียดเนียนแล้ว ให้นำมากรองลงผ้าขาวบาง(วิธีการกรองนี้เป็นวิธีทำแบบ สูตรน้ำเต้าหู้โบราณ (ผ้าขาวบางก่อนนำมาใช้ต้องทำความสะอาดด้วยการต้มฆ่าเชื้อก่อน ถ้าเป็นผ้าใหม่ให้นำไปซักด้วยน้ำอุ่นก่อน)
  6. เมื่อกรองถั่วเหลืองจนเสร็จแล้ว ให้เทน้ำสะอาดที่เหลือ 500 มล.ลงไปในกากถั่วเหลืองที่คั้นเสร็จแล้ว ทำการคั้นอีก 1 รอบ จะได้น้ำเต้าหู้ที่เข้มข้นมาก 
  7. นำน้ำถั่วเหลืองที่ได้ตั้งไฟ โดยใช้ไฟกลาง ใช้ข้อนคนไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่คนจะไหม้ เมื่อเดือดให้ยกออกจากเตามาพักไว้ ในขั้นตอนนี้สามารถใส่น้ำตาลลงได้ถ้าชอบรับประทานหวาน

สูตรนี้สามารถรับประทานแบบจืด ๆ ได้เลยเพราะโปตีนใน น้ำเต้าหู้ ประโยชน์ ต่อสุขภาพมากมาย แต่ถ้าใครชอบหวานสามารถใส่น้ำผึ้งหรือน้ำตาลลงไปได้ เพิ่มอรรถรสสัมผัสการเคี้ยวโดยการใส่ท้อปปิ้งเครื่องเคียงต่าง ๆ อาทิเมล็ดแมงลัก ถั่วเขียวซึกนึ่ง ลูกเดือย วุ้นใส งาดำ 

ขอบคุณภาพจาก pixabay

เคล็ดลับการทำน้ำเต้าหู้ให้อร่อยเข้มข้น อยากดื่ม น้ำเต้าหู้ แบบได้รสชาติเข้ม ๆ และสารอาหารโปรตีนแบบเต็มมี วิธีการทำน้ำเต้าหู้ แบบ เข้มข้น คือจะต้องไม่ใส่น้ำจนเยอะเกินไป โดยให้เน้นใส่น้ำในขั้นตอนของการปั่นถั่วเหลืองจะดีที่สุด 

และเมล็ดถั่วเหลืองซีกนั้นจะต้องเป็นถั่วเหลืองแบบใหม่ได้มาตรฐานไม่ขึ้นรา มอดไม่กิน สำหรับคนที่อยากสุขภาพดีการทำน้ำเต้าหู้รับประทานเองนั้นจะทำให้เราได้น้ำเต้าหู้คุณภาพดีตามความต้องการมากที่สุด เมื่อทำเสร็จแล้วถ้าดื่มไม่หมดสามารถเก็บใส่ขวดเป็นน้ำเต้าหู้ขวดไว้ในตู้เย็นไว้ดื่มวันหลังได้ค่ะ 

Categories
ขนมไทย

น้ำมะพร้าว อ่อน วัตถุดิบชั้นเลิศทำอะไรก็อร่อย

มะพร้าวเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศไทย ไม่เพียงแต่เนื้อมะพร้าวที่มีประโยชน์ และทำเงินได้เท่านั้น ทุกส่วนของมะพร้าวนั้นมีประโยชน์ โดยเฉพาะ น้ำมะพร้าว แค่ดื่มเปล่า ๆ ไม่ต้องปรุงรสชาติอะไรก็อร่อยชื่นใจ สามารถนำมาทำเป็นวัตถุดิบผสมเครื่องดื่มสร้างรสชาติความแปลกใหม่เพิ่มมูลค่าให้กับเครื่องดื่มมากมาย และปัจจุบันขนมหวานหลายชนิดก็นิยมใส่วัตถุดิบน้ำมะพร้าวในกระบวนการทำ 

อาทิขนมบัวลอยมะพร้าวอ่อน ไข่หวาน จะใส่น้ำมะพร้าวผสมกับหัวกะทิเพื่อให้เกิดความหอมของกะทิบวกกับความหอมของน้ำมะพร้าวอ่อนแท้ ทำให้รสชาติขิงขนมนั้นมีรสชาติที่อร่อยละมุนแบบธรรมชาติ มีความแตกต่างจากขนมบัวลอยทั่วไปที่ไม่ใส่น้ำมะพร้าว เรียกได้ว่าตอนนี้เทรนด์ของ น้ำมะพร้าว ในอาหาร ขนมนั้นฮิตติดลมบนอย่างมาก โดยเฉพาะในเครื่องดื่มกาแฟก็มีเมนูของกาแฟออกมาใหม่มากมายใหคนได้ตื่นเต้นกับรสชาติแปลกใหม่ของกาแฟ 

ขอบคุณภาพจาก pixabay

วัตถุดิบ ส่วนผสมการทำเมนูกาแฟลาเต้ น้ำมะพร้าว อ่อน

  1. กาแฟผง 4 ช้อนชา
  2. น้ำร้อน 120 มล.
  3. นมสดรสจืด 40 มล.
  4. น้ำมะพร้าว อ่อน 100 มล.
  5. ไซรัปน้ำมะพร้าว 20 มล
  6. น้ำแข็ง

ขั้นตอนการทำเมนู กาแฟลาเต้ น้ำมะพร้าว อ่อน

เครื่องดื่มกาแฟเมนูนี้สามารถเพิ่มผลไม้ชนิดอื่น ๆ ได้ตามความชอบ อาทิน้ำมะพร้าวใส่มะนาว เป็นต้น ก็จะได้เมนูกาแฟรถชาติใหม่ ๆ อีกหนึ่งเมนู

  1. สำหรับใครที่ไม่มีเครื่องชงกาแฟ สามารถชงแบบธรรมดาได้โดยการใส่น้ำร้อนลงในกาแฟตามต้องการ
  2. ผสมนมสดรสจืด กับไซรัปน้ำมะพร้าว ตามด้วยน้ำมะพร้าวอ่อน คนให้เข้ากัน 
  3. เสิร์ฟให้สวยงามโดยการใส่ส่วนผสมของนมสด ไซรัป น้ำมะพร้าวอ่อนลงไป ใส่น้ำแข็งลงไปจนท่วมแก้ว
  4. จากนั้นจึงใส่กาแฟช็อตลง จะเห็นเป็นชั้นแยกสวยงามระหว่างชั้นของมะพร้าวอ่อน และส่วนของกาแฟช็อต เพียงเท่านี้ก็ได้กาแฟลาเต้รสชาติแปลกใหม่รสละมุนไว้ดื่มกันแล้ว 

ขอบคุณภาพจาก unsplash

วัตถุดิบ ส่วนผสมเมนูอเมริกาโน่ น้ำมะพร้าว อ่อน

  1. กาแฟผง 3 ช้อนชา (ชอบเข้มข้นใส่ 4 ช้อนชา)
  2. น้ำร้อน 100 มล.
  3. น้ำมะพร้าวอ่อน 120 มล. (ถ้าอยากได้รสชาติความหวานที่มากกว่ารสชาติน้ำมะพร้าวปกติให้ผสมไซรัปน้ำมะพร้าวลงไปด้วยจะได้รสชาติที่หวานแบบชื่นใจทีเดียว)
  4. น้ำแข็ง

ขั้นตอน และวิธีการทำเมนูอเมริกาโน่ น้ำมะพร้าว อ่อน

  1. ขั้นตอนแรกชงกาแฟผงกับน้ำร้อน คนให้ส่วนผสมเข้ากัน พักไว้จนเย็น 
  2. เพื่อความสวยงามการแยกชั้นของกาแฟ และน้ำมะพร้าวอ่อน เริ่มต้นการใส่น้ำมะพร้าวอ่อนลงไปในแก้วก่อน จากนั้นจึงค่อย ๆ ใส่น้ำแข็งลงไปจนเต็มแก้ว ตามด้วยใส่กาแฟช็อตเป็นอย่างสุดท้าย
  3. เพียงเท่านี้ก็ได้เครื่องดื่มอเมริกาโน่น้ำมะพร้าวอ่อนไว้ดื่ม ให้ความรู้สึกเหมือนกินน้ำมะพร้าวสด สำหรับใครที่ไม่สามารถหาน้ำมะพร้าวอ่อนได้ สามารถใช้น้ำมะพร้าวแก่แทนได้ รสชาติอร่อยไม่แพ้กัน 

ขอบคุณภาพจาก pixabay

Categories
ขนมไทย

ขนมไทย กับวัตถุดิบยอดนิยม กล้วย ฟักทอง เผือก มัน

ขอบคุณภาพจาก pixabay

คนไทยทุกคนโดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ต่างจังหวัด เราคุ้นชินกับการรับประทาน ขนมไทย มาตั้งเเต่เด็ก ขนมไทยนั้นมีมากมายหลายชนิด ถ้านับกันจริงจังก็มีเป็นร้อย ๆ ชนิดกันเลยก็ว่าได้ แต่ก็จะมีเพียงไม่กี่เมนูขนมไทยที่รับประทานกันบ่อยเป็นประจำ อาทิเมนูกล้วยบวชชี ขนมกล้วยโขลก กล้วยกวน กล้วยเชื่อม ข้าวต้มมัด ขนมบวชกะทิเผือก บวชกะทิหัวมันมัน หัวมันฉาบ หัวมันเชื่อมราดกะทิ บวชกะทิกล้วย บวชกะทิฟักทอง สังขยาฟักทอง ฟักทองเชื่อม เป็นต้น 

เมนูขนมไทยเหล่านี้เรามีโอกาสได้รับประทานเป็นประจำโดยส่วนใหญ่จะมีกล้วย เผือก มัน ฟักทอง เป็นวัตถุดิบหลักที่คนนิยมนำมาทำ ทั้งหาง่าย มีอยู่ทั่วไปในท้องถิ่น โดยเฉพาะต่างจังหวัดนั้นยิ่งหาง่ายมาก อีกทั้งเป็นวัตถุดิบที่เอามาทำขนมไทยแล้วให้ความรู้สึกถึงความอร่อยได้อรรถรสถึง ขนมไทย โดยแท้จริง มีทั้งหวาน มัน รสละมุน ผสมผสานรสชาติของน้ำตาลมะพร้าวแท้ กะทิสด ๆ ทำให้เมนูขนมไทยที่ดูเหมือนเมนูบ้าน ๆ ธรรมดานั้นเป็นเมนู่อยู่คู่คนไทย

ขอบคุณภาพจาก pixabay

หลากหลายเมนู ขนมไทย ที่มีกล้วย และฟักทอง เป็นวัตถุดิบหลัก 

กล้วยนั้นเป็นผลไม้ไทยชนิดหนึ่งที่คนไทยรู้จักกันดีโดยเฉพาะกล้วยน้ำว้า กล้วยน้ำว้านั้นสามารถนำมาทำ ขนมไทย มากมายหลายเมนู แต่ละเมนูนั้นก็ไม่ธรรมดาเป็นเมนูยอดนิยมที่คนถูกปากกันมาก อาทิ กล้วยบวชชี กล้วยกวน กล้วยฉาบ กล้วยเชื่อม กล้วยกวน ขนมกล้วยโขลก ขนมข้าวต้มมัด ขนมข้าวเหนียวปิ้งไส้กล้วย ขนมกล้วยทอด ขนมกล้วยนึ่ง กล้วยตาก กล้วยหยี และ เมนูของหวานไทยโบราณ อีกหลายเมนู

สำหรับฟักทองนั้นเป็นพืชที่มีสารอาหารประเภทโปรตีนอย่างมาก ปลูกก็ง่าย นำมาทำขนมไทยก็อร่อยจนหยุดไม่ได้ ขนมที่ทำจากฟักทองนั้นมีมากมายส่วนใหญ่จะเป็น ของหวานไทยง่ายๆ ได้แก่บัวลอยฟักทอง ฟักทองนึ่งโรยมะพร้าวขูด แกงบวชฟักทอง ฟักทองเชื่อม ฟักทองฉาบ ขนมฟักทองโขลก สังขยาฟักทอง ข้าวเหนียวไส้ฟักทอง เป็นต้นซึ่งรสชาติของขนมฟักทองนั้นจะมีจุดเด่นอยู่ที่ความหอมมัน และรสชาติที่หวานแบบธรรมชาติของฟักทอง 

ขอบคุณภาพจาก pixabay

เมนูขนมไทย ขนมหวาน เผือก มัน รับบทพระเอก 

เผือก มัน เป็นพืชชนิดประเภทหัว เป็นพืชที่ให้พลังงานสูง สามารถหารับประทานง่ายในโซนต่างจังหวัด นิยมนำมาทำเป็นเมนู ขนมไทย เรียกได้ว่าทั้งเผือก ทั้งมันนั้นเป็นพระเอกแถวหน้าเลยก็ว่าได้ เพราะรสชาติของทั้งเผือก และมันนั้นมีรสชาติหวานมันเป็นธรรมชาติ เมื่อนำไปดัดแปลง ปรับวิธีการ วิธีทำขนม ให้เป็นเมนูขนมไทยจึงมีรสชาติที่อร่อย อีกทั้งทุกเมนูขนมไทยส่วนใหญ่นิยมใส่กะทิลงไป เป็น เคล็ดลับทำขนมไทยให้อร่อย มีหลากลายเมนู อาทิ เผือกกวน มันกวน แกงบวชหัวเผือกหัวมัน ข้าวเหนียวปิ้งไส้เผือก เผือกฉาบ มันฉาบ เผือกกวน มันกวน เผือกเชื่อม มันเชื่อม เผือกรากน้ำกะทิ เผือกทอด มันทอด เป็นต้น 

Categories
ขนมไทย

มะพร้าววัตถุดิบหลักของตัวชูโรงรสชาติ ขนมไทย เกือบทุกชนิด

ขอบคุณภาพจาก unsplash

ส่วนประกอบหลักของขนมไทยนั้นไม่ได้มีเพียงแค่แป้งมัน แป้งข้าวเจ้า แป้งข้าวเหนียว แป้งข้าวโพด หรือน้ำตาลเท่านั้น ขนมไทยส่วนใหญ่แทบจะทุกชนิดเลยก็ว่าได้มีส่วนประกอบของผลไม้ต่าง ๆ มากมาย ทั้งใช้เป็นวัตถุดิบใส่ลงในส่วนผสมของขนมอาทิน้ำกะทิของมะพร้าว ทั้งรับประทานคู่ขนมไทย อาทิข้าวเหนียมมูนที่รับประทานคู่ผลไม้ต่าง มะม่วง ทุเรียน ขนุน เป็นต้น แต่ที่พบเห็นบ่อยที่สุด และเรียกได้ว่าเป็นส่วนประกอบหลักตัวชูโรงเลยนั่นก็คือมะพร้าว

บาง ขนมไทย ใช้เฉพาะเนื้อมะพร้าว บางขนมใช้เฉพาะน้ำกะทิที่คั้นออกมาจากกากมะพร้าว บางขนมใช้ทุกส่วนของมะพร้าว เรียกได้ว่ามีความสำคัญระดับที่ว่าไม่สามารถขาดวัตถุดิบมะพร้าวไม่ได้อย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะประเทศไทยขึ้นชื่อได้ว่าเป็นแหล่งที่มีมะพร้าวที่มีคุณภาพ ความมัน ความหวานของมะพร้าวนั้นอันดับหนึ่ง ดังนั้นขนมไทยก็ต้องจัดเต็มในเรื่องของความหวานมันของมะพร้าวเต็มที่ 

ขอบคุณภาพจาก pixabay

เมนู ขนมไทย ใส่กะทิ คั้นจากมะพร้าวสด ๆ หอม หวานมัน อร่อย 

เมนู ขนมไทย ตระกูลข้าวเหนียวมูนต่าง ๆ การมูนข้าวเหนียวนั้นถ้าขาดกะทิไปจะไม่เรียกว่าข้าวเหนียวมูน เพราะข้าวเหนียวนั้นเมื่อนำมามูนกับกะทิแล้วจะช่วยให้รสชาติของข้าวเหนียวหอม หวาน มัน กลมกล่อม ข้าวเหนียวมีความแวววาวเรียงเม็ดสวย เมื่อรับประทานข้าวเหนียวมูนที่ผ่านการมูนอย่างพิถีพิถันคู่กับผลไม้รสชาติอมเปรี้ยวอมหวานอย่างเช่นมะม่วงสุกทำให้เข้าถึงรสชาติ และอรรถรสของข้าวเหนียวมูลมะม่วง เมนูของหวานไทยโบราณ อย่างแท้จริง 

เมนูขนมหวานตระกูลแกงบวชต่าง ๆ นั้น เป็นเมนูที่นำผลไม้ประเภทหัวเผือก หัวมัน กล้วยฟักทอง ขนุนทั้งหลายมาทำการต้มกับส่วนของกะทิเรียกว่า วิธีทำขนม แบบการบวชนั้น เป็นขนมไทยโบราณยอดนิยมของคนทุกรุ่นทุกสมัย ขนมแกงบวชจะเป็นขนมไม่ได้ถ้าขาดวัตถุดิบกะทิ จะกลายเป็นขนมประเภทเชื่อมในทันที ส่วนมากจะนำผลไม่ที่มีรสชาติหวานมัน และเป็นประเภทหัวมาบวชกับน้ำกะทิ เมื่อทำการบวชเข้ากันแล้วรสชาติที่ได้นั้นหอมกะทิแท้ ๆ บวกกับความหวานมันของผลไม่ธรรมชาติ ให้ความรู้สึกชื่นใจ รับประทานแล้วรู้สึกสดชื่น และเข้าถึงรสชาติของขนมไทยแกงบวชอย่างแท้จริง 

ขอบคุณภาพจาก pixabay

เมนูขนมไทยที่ใช้เนื้อมะพร้าวสด ๆ วัตถุดิบเพิ่มเนื้อสัมผัส และรสชาติหวานมันอร่อย 

เมนู ขนมไทย มงคลที่ใช้ในพิธีสำคัญทุกพิธี อาทิแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ ไหว้ศาลพระภูมิ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ จะต้องมีขนมโคร่วมด้วยแทบทุกงาน ขนมโคนั้นเป็นเมนู ของหวานไทยง่ายๆ ที่ใช้ทั้งส่วนของเนื้อมะพร้าว และส่วนของน้ำกะทิเป็นส่วนประกอบหลักเลยก็ว่าได้ เริ่มตั้งแต่การใช้น้ำกะทิเป็นส่วนประกอบในการนวดแป้ง และใช้ส่วนผสมของเนื้อมะพร้าวทึนทึกในการนำมาผัดกับน้ำตาลมะพร้าวในการทำไส้ขนมโค และเมนูนี้ยังใช้เนื้อมะพร้าวขูดตกแต่งขนมโคให้มีความน่ารับประทาน เรียกได้ว่าขนมโคนั้นใช้ส่วนประกอบของมะพร้าวเกิน 50 เปอร์เซ็นและเป็น เคล็ดลับทำขนมไทยให้อร่อย ถูกใจคนทั่วโลก