Categories
อาหารนานาชาติ

แตงกวาดอง อาหารสำหรับกินกับเมนูอาหารว่างง่ายๆ

https://mykitchencook.com/wp-content/uploads/2021/07/แตงกวาดอง.jpg

ในกลุ่มประเทศที่อยู่แถบตะวันตกก็มีการนำวัตถุดิบผัก ผลไม้ มาผ่านกระบวนการดอง หมัก เชื่อม กวน เก็บถนอมอาหารด้วยวิธีการต่าง ๆ เหมือนกับประเทศไทย อาทิการนำผลไม้ต่าง ๆ ตระกูลเบอร์รี่ที่มีจำนวนมากมาแปรรูปกวนเป็นแยมเบอร์รี่ไว้สำหรับเก็บไว้รับประทานทาขนมปัง หรือนำมาทำเป็นไส้ขนมเป็นเมนูอาหารว่างง่ายๆรับประทานในครอบครัว 

และในส่วนของผักดองนั้น การนำแตกกวาผิวขรุขระ มาทำการดองเป็น แตงกวาดอง ด้วยวิธีที่ง่ายไม่ยุ่งยาก สามารถทำเก็บไว้รับประทานได้นาน อีกทั้งการดองแตงกวารับประทานเองนั้น สามารถดองให้รสชาติตามต้องการได้ อีกทั้งสาเหตุที่คนทางฝั่งตะวันตกนั้นนิยมทำแตงกวามาดองนั้นเพราะแตงกวาดองเป็นที่นิยมรับประทานของคนทุกเพศทุกวัย และสามารถรับประทานได้กับอาหารหลายอย่าง

วัตถุดิบสำหรับทำเมนูแตงกวาดอง เมนูอาหารว่างง่ายๆ ยอดนิยมของชาวตะวันตก

สำหรับอัตราส่วนในสูตรนี้เป็นแตงกวาดองสำหรับเป็นเมนูอาหารว่างง่าย ๆ รับประทานเล่น รสขาติจะเน้นหวานอมเปรี้ยว ไม่เน้นเปรี้ยวจนเกินไป หรือหวานจนเกินไป

  1. แตงกวาผิวขรุขระ 10 ผล (ผลเล็กเพราะเน้นสำหรับเป็นอาหารว่างทานเล่น)
  2. ผักชีลาวเพิ่มความหอม 3 ต้น
  3. เม็ดผักชี 1 ช้อนโต๊ะ
  4. พริกจินดา 5 เม็ด (ใช้พริกอะไรก็ได้)
  5. กระเทียม 10 กลีบ (หั่นซอย)
  6. น้ำสะอาด 1,000 มล.
  7. น้ำส้มสายชู 300 มล. / ใช้น้ำส้มจากแอปเปิ้ลไซเดอร์ถ้าต้องการดองเพื่อไว้แกล้มอาหารว่างคาว 
  8. น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ (ชอบรสหวานเพิ่มได้อีก 1 ช้อนโต๊ะ)
  9. เกลือป่น 1/2 ช้อนโต๊ะ

ขั้นตอนการทำเมนู แตงกวาดอง 

  1. ขั้นตอนแรกคือการใส่น้ำสะอาดลงในหม้อ ใช้ไฟเบา จากนั้นใส่น้ำส้มสายชู เกลือ น้ำตาลทราย จากนั้นเคี่ยวจนส่วนผสมทุกอย่างละลาย ไม่ต้องเคียวจนเดือด ขั้นตอนนี้ถ้าใครจะทำเป็นดองสำหรับกินกับเมนูอาหารว่างง่ายๆ สามารถเพิ่มลดปริมาณเครื่องปรุงตามชอบได้เลย 
  2. เมื่อส่วนผสมทุกอย่างผสมเข้ากันจนได้ที่แล้ว ให้ยกลงมาพักไว้จนเย็น 
  3. มาถึงขั้นตอนการเรียงแตงกวา เม็ดพริกไทย ผักชีลาว กระเทียมสับ และพริก โดยถ้าใครตั้งใจให้แตงกวาดองนี้เป็นอาหารว่างทำเงิน หรือต้องการทำขายควรจัดเรียงให้สวยงามน่ารับประทาน 
  4. เมื่อเรียงแตงกวา และวัตถุดิบทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ให้เอาน้ำดองมาเทใส่โหลอย่างระมัดระวัง จากนั้นปิดฝาให้สนิททิ้งแตงกวาไว้ 3 – 4 วัน เพียงแค่นี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยกับเมนูแตงกวาดออง

สำหรับเมนูแตงกวาดองนั้นในประเทศแถบตะวันตกถือว่าเป็นอาหารยอดนิยมมาก แต่สำสำหรับประเทศไทยแล้วถือว่ายังเป็นอาหารแปลกใหม่ ทำง่าย และยังคงไม่ค่อยมีคนทำขายแบบจริงจัง และคิดว่าคนไทยสามารถต่อยอดใส่ไอเดียทำขายเพื่อสร้างรายได้ก็น่าสนใจไม่น้อยเลยค่ะ

Categories
อาหารญี่ปุ่น อาหารนานาชาติ

อาหารญี่ปุ่น ข้าวปั้นโบราณโอนิงิริ ที่คนทั่วโลกรู้จัก

https://mykitchencook.com/wp-content/uploads/2021/07/อาหารญี่ปุ่น-ข้าวปั้นโบราณโอนิงิริ-ที่คนทั่วโลกรู้จัก.jpg

ปัจจุบันอาหารญี่ปุ่นถือได้ว่าเป็นอาหารระดับโลกแล้ว เพราะทั่วทุกมุมโลกนั้นต่างให้ความยอมรับทั้งในเรื่องรสชาติความอร่อย การใส่ใจรายละเอียดในการทำ ไม่เพียงแต่คนเอเชียเท่านั้น อาหารญี่ปุ่นยังโด่งดังไปถึงชาติตะวันตก เรียกได้ว่าทุกประเทศทั่วโลกนั้นไม่มีประเทศไหนที่ไม่รู้จักอาหารญี่ปุ่น 

เมนูอาหารญี่ปุ่นขึ้นชื่ออาทิ ซูชิ ราเมน โซบะ ชาบู อูนางิ และเมนูอันดับหนึ่งขวัญใจคนทั่วโลกนั้นก็คือ ข้าวปั้นโอนิงิริ หรือข้าวปั้นสูตรโบราณขงคนญี่ปุ่น เรียกได้ว่าเมื่อนึกถึงอาหารญี่ปุ่นเมื่อไร ข้าวปั้นเป็นเมนูแรกที่จะนึกขึ้นได้ เมนูนี้เป็นเมนูที่อยู่คู่ชาวญี่ปุ่นมาอย่างยาวนานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สมัยอดีตคนญี่ปุ่นมักทำข้าวปั้นห่อไปรับประทานเป็นอาหารกลางวันขณะที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน

วิธีการทำข้าวปั้นโบราณโอนิงิริ อาหารญี่ปุ่นยอดนิยม

ขั้นตอนในการทำข้าวปั้นอาหารญี่ปุ่นชื่อดังนั้นมีไม่กี่ขั้นตอน แต่จะไปยากที่ขั้นตอนการปั้นข้าว เริ่มแรกนั้นหุงข้าวญี่ปุ่น จากนั้นเมื่อข้าวสุกให้ตักข้าวออกมาเตรียมไว้ในถาด แล้วเตรียมปั้นข้าวในขณะที่ข้าวยังอุ่น ๆ ก่อนจะปั้นให้เตรียมล้างมือให้สะอาด จากนั้นนำเกลือป่นมาโรยที่มือนิดหน่อย การปั้นข้าวปั้นอาหารญี่ปุ่นประเภทข้าวสามารถปั้นได้ 2 แบบคือแบบสามเหลี่ยม และแบบวงกลม โดยก่อนปั้นนั้นให้ใส่ไส้ที่ชอบลงไป อาทิปลาเซลมอล ไส้เกล็ดปลาโอแห้งผสมโชยุ หรือใส้ปลาต่าง ๆ ตามที่ต้องการ 

จากนั้นทำการปั้นข้าวปั้นโดยใช้มือทั้งสองมือปั้นข้าว ควรทำเวลาในการปั้นไม่ควรปั้นช้าจนเกินไปเพราะข้าวญี่ปุ่นจะเหนียวติดมือทำให้ข้าวปั้นแฉะไม่น่ารับประทาน สำหรับคนที่ชอบสาหรายก็สามารถห่อสาหร่ายเป็นเมนูอาหารญี่ปุ่นยอดฮิตที่เรียกได้ว่ามีกรรมวิธีในการปั้นแบบปราบเซียนเลยก็ว่าได้

เคล็ดลับการทำข้าวปั้นโบราณโอนิงิริให้อร่อย ปั้นออกมาสวยงามแบบฉบับต้นตำรับ

เมนูอาหารญี่ปุ่นข้าวปั้นโบราณนั้น เรียกได้ว่าไม่ว่าจะเดินไปซอกซอยไหนของญี่ปุ่น ก็จะสามารถพบเจอร้านข้าวปั้นได้ไม่ยาก เพราะเป็นอาหารที่คนนิยมรับประทานกันมาก ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ชื่อดังนั้น ทุกร้านล้วนแล้วแต่มีความละเอียด มีประสบการณ์ในการทำข้าวปั้นโบราณอย่างชำนาญ และเป็นมืออาชีพ 

สำหรับคนไทยแล้วถ้าจะทำเมนูรายการอาหารญี่ปุ่นข้าวปั้นโบราณให้อร่อย ปั้นสวยงามเหมือนต้นตำรับนั้น ก็ต้องหมั่นฝึกทำเมนูนี้ เพราะวัตถุดิบไม่เยอะ ขั้นตอนง่าย แต่ต้องอาศัยทักษะในการฝึกปั้นข้าว เคล็ดลับในการปั้นข้าวนั้นคือข้าวที่จะปั้นนั้นต้องไม่เย็น การปั้นต้องลงน้ำหนักของอุ้งมือให้พอดี ไม่หนักจนเกินไป และไม่เบาจนเกินไป ถ้าลงน้ำหนักที่อุ้งมือหนักเกินไปข้าวญี่ปุ่นจะแฉะ แต่ถ้าเบาเกินไปข้าวจะแตก และการปั้นข้าวที่ชำนาญการใช้มือสองมือที่สัมพันธ์กันจะทำให้ข้าวปั้นโบราณนิงิริรสชาติอร่อยกลมกล่อมอย่างมาก

Categories
อาหารนานาชาติ อาหารอินเดีย

กระแสความนิยมรับประทานอาหารอินเดียในไทย

ในปัจจุบันคนไทยนั้นให้ความสนใจ และอยากที่จะเรียนรู้เรื่องราวเมนูอาหารอินเดียมากมายเลยทีเดียว อาหารอินเดียนั้นมีเมนูทั้งอาหารคาวอาหารหวานต่าง ๆ โดยเฉพาะชื่อเสียงของอาหารอินเดียที่เราได้ยินมาคือมีประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นอาหารที่กินแล้วดีต่อสุขภาพ คนไทยก็ยิ่งสนใจอาหารอินเดีย และมีคนไทยไม่น้อยนั้นเดินทางไปลิ้มรสอาหารอินเดียถึงถิ่นพี่น้องชาวอินเดีย ถึงย่านพาหุรัด เรียกได้ว่าเป็นเสน่ห์ของย่านนั้นเลยทีเดียว 

หลายคนที่ได้ไปเที่ยวย่านพาหุรัดมาแล้วบอกต่อมาว่าเดินเข้าไปแล้วให้ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นความสวยงามทางวัฒนธรรมอย่างมากเลยทีเดียว และทำให้เราได้เรียนรู้ข้อมูลใหม่ว่าเมนูโรตีสไตล์ไทย ที่ใส่นมใส่น้ำตาล คนไทยชอบอย่างมากนั้น โรตีของคนอินเดียอีกแบบจะเป็นโรตีที่รับประทานเป็นอาหารคาว จิ้มกับแกงต่าง ๆนั่นเอง

แหล่งอาหารอินเดียในประเทศไทย 

สำหรับในประเทศไทยแล้ว ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศไทยนั้นเป็นคนไทย ในส่วนของต่างชาติก็สามารถพบเห็นได้ทั่วไปทุกจังหวัดในประเทศไทย ทั้งคนชาติตะวันออก และตะวันตก ทำให้วัฒนธรรมอาหารของประเทศไทยเรานั้นมีความเข้มแข็ง และเป็นที่นิยมบริโภคของคนไทยมาก อาหารที่ได้รับความนิยมรองลงมาจากอาหารไทยได้แก่อาหารจากชาติตะวันตก เป็นอาหารที่แทรกซึมเข้ามาแบบไม่รู้ตัว 

และยังมีอาหารอีกประเภทหนึ่งนั่นก็คืออาหารอินเดีย เป็นอาหารที่มีเสน่ห์อย่างมาก ซึ่งคนไทยเองแม้จะมีอาหารประจำชาติที่อร่อยอยู่แล้ว แต่คนไทยในก็อยากจะเปิดประสบการณ์เรียนรู้ อยากลองชิมเมนูอาหารอินเดียจากประเทศต่าง ๆ โดยอาหารอินเดียในประเทศไทยนั้นไม่ใช่อาหารที่หารับประทานได้เลย ในกรุงเทพจะสามารถหารับประทานได้ที่ย่านพาหุรัด และอาหารอินเดีย นานา เพราะสถานที่ทั้งสองแห่งนี้เป็นสถานที่มีชาวอินเดียมาอาศัยอยู่ค่อนข้างมาก 

เอกลักษณ์ความโดดเด่นของ อาหารอินเดีย

ในสมัยก่อนนั้น คนไทยอาจยังไม่คุ้นชินกับอาหารอินเดีย แต่ในปัจจุบันในยุคที่มีสื่อมากมายเช่นนี้ สื่อมากมายนำเสนอเสน่ห์ อาหารอินเดีย รีวิวมากมาย ทำให้คนไทยนั้นหลงรัก และอยากที่ลองลิ้มชิมรสอาหารอินเดียกันอย่างมาก เพราะเป็นอาหารที่มีเอกลักษณ์ และมีความโดดเด่นทั้งหน้าตา และรสชาติไม่เหมือนใคร เป็นรสชาติแบบฉบับของตัวเอง โดยเฉพาะอาหารอินเดียที่มีส่วนผสมของผงการัมมาซาล่า เรียกได้ว่าเป็นเครื่องเทศพระเอก เพิ่มทั้งรสชาติอาหาร เพิ่มความหอม เป็นตัวชูรสอาหารอินเดียเลยก็ว่าได้

ประชากรของคนอินเดียส่วนใหญ่นั้นนิยมรับประทานอาหารแบบมังสวิรัติ และอาหารมังสวิรัติแบบอินเดียนั้นยังแตกยิบย่อยออกอีกหลายประเภท แต่โดยรวมอาหารมังสวิรัตินั้นจะไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ไข่ โดยอาหารจะเน้นรับประทานผัก เครื่องเทศ ถั่วชนิดต่าง ๆ และแป้ง โดยเมนูของอาหารอินเดียนั้นจะเน้นอาหารเพื่อสุขภาพ โดยการรับประทานนั้น จะมีส่วนของแป้งโรตีที่ทำจากแป้ง รับประทานคู่กับแกงต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นแกงถั่ว ที่ใส่เครื่องเทศหลายชนิด และจะมีแกงมากมายชนิดในการรับประทานกับแป้งโรตี เสมือนอาหารอินเดีย บุฟเฟ่ต์ เลยก็ว่าได้ เพราะเยอะจนเลือกรับประทานไม่ถูกเลย

Categories
อาหารนานาชาติ

ครีมชีส วัตถุดิบสำคัญของหลากหลายเมนูอาหารว่างง่ายๆของชาวตะวันตก

สำหรับอาหารของชาวตะวันตกนั้นจะเป็นอาหารที่ค่อนข้างต่างจากประเทศไทยอย่างมาก โดยส่วนประกอบหลักของอาหารนั้นจะเน้นนมเนย ไข่ ชีส และครีมชีส โดยวัตถุดิบดังกล่าวนี้สามารถนำมาทำได้ทั้งเมนูอาหารหลัก เมนูอาหารหวาน รวมถึงเมนูอาหารว่างง่ายๆ เรียกได้ว่าเป็นวัตถุดิบหลักที่ชาวตะวันตกทุกบ้านนั้นต้องซื้อไว้ติดบ้านติดครัวกันเลยทีเดียว

วัตถุดิบ ขั้นตอนวิธีการรทำครีมชีส โฮมเมด วัตถุดิบหลักในการทำเมนูอาหารว่างง่ายๆ หลายอย่าง

ครีมชีสโฮมเมดพระเอกหลักในการทำเมนูอาหารว่างง่ายๆ นั้นทำจากวัตถุดิบแค่ 2 อย่าง นมสด 1.5 ลิตร และโยเกิร์ต 2 ถ้วย สำหรับขั้นตอนการทำนั้นเป็นขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยาก โดยใช้เวลาทั้งหมดโดยนับตั้งแต่เริ่มทำ ประมาน 4 – 5 วัน

  1. เริ่มจากขั้นตอนของการเคี่ยวนมสดด้วยไฟอ่อน เคี่ยวไปเรื่อย ๆ เมื่อเริ่มรู้สึกว่าอุณหภูมิหม้อเริ่มสูง ให้ใส่โยเกิร์ต (ชนิดเดียวกับโยเกิร์ตอาหารว่างทานเล่นที่เราซื้อสำเร็จรูป)ที่เตรียมไว้ลงไปจากนั้นเคี่ยวต่อจนชั้นของไขมันนมแยกตัว 
  2. พักไว้จนเย็นนำมากรองด้วยผ้าขาวบางเพื่อให้เนื้อครีมชีสมีความเนียนละเอียด 
  3. นำส่วนของนมสดที่กรองเสร็จแล้ว มาวางไว้ในภาชนะใบที่ใหญ่กว่า แล้วทำการปิดฝา ทิ้งไว้ 10 – 12 ชั่วโมง
  4. เมื่อครบ 12 ชั่วโมงแล้ว เปิดออกมาเกิดการเปลี่ยนเปลงแปลงโฉมจากนมสดเคี่ยวกลายมาเป็นโยเกิร์ตรสธรรมชาติรสชาติมันอมเปรี้ยว อาหารว่างคาวหวานที่หลายคนชอบรับประทาน
  5. จากโยเกิร์ตเราจะแปลงโฉมให้กลายเป็นครีมชีสโดยการใช้ผ้าขาวบางมาหุ้มภาชนะนมสดนี้ไว้ แล้วใช้พลาสติกยืดสำหรับพันอาหารมาพันไว้อีกที จากนั้นใช้ภาชนะใบใหญ่ครบไว้อีกที เพื่อกันมด แมลงต่าง ๆ หมักไว้ 4 วัน 
  6. เมื่อหมักครบ 4 วันแล้ว ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำครีมชีสแสนอร่อยไว้เป็นวัตถุดิบในการทำเมนูต่าง ๆ แล้วค่ะ

ไอเดียต่อยอดในการนำครีมชีสโฮมเมดไปทำอาหาร และต่อยอดสร้างรายได้ 

คนตะวันตกจะให้ความสำคัญกับการทำอาหารเมนูอาหารว่างง่ายๆรับประทานกันเองกับสมาชิกในครอบครัว นาน ๆ ครั้งจะออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน การทำอาหารรับประทานเอง เป็นอาหารที่คุ้นชินกันอยู่แล้ว ไม่ใช่อาหารแปลกใหม่ ทำง่าย ๆแบบโฮมเมดด้วยตัวเองจึงเป็นเรื่องที่คนตะวันตกทำกันเป็นปกติอยู่แล้ว 

โดยการทำวัตถุดิบแบบโฮมเมดนั้นจะเน้นทำวัตถุดิบสำคัญ เพราะสามารถนำไปดัดแปลทำอาหารอื่นได้อีกมากมายหลายเมนู โดยเฉพาะครีมชีสแบบโฮมเมดจะนิยมทำไว้รับประทานเอง เพราะได้ทั้งความสดใหม่ และคุ้มค่ากว่าการซื้อแบบสำเร็จรูป อีกทั้งครีมชีสถ้าทำกินเองจนชำนาญแล้วยังสามารถทำเป็นอาหารว่างทำเงินสร้างรายได้แบบไม่รู้ตัวเลยทีเดียว

Categories
อาหารนานาชาติ อาหารอินเดีย

วิธีทำ ขนมปานีปูรี อาหารอินเดีย วัฒนธรรมการกินของคนอินเดียที่คนไทยอยากสัมผัส

อาหารอินเดียนั้น เป็นอาหารที่มีเสน่ห์มาก โดยเฉพาะกระบวนการขั้นตอนในการทำที่มีหลายมิติ หลายขั้นตอน รวมไปถึงวิธีในการรับประทานอาหารอินเดียนั้นก็มีความเป็นเอกลักณ์เฉพาะตัว สำหรับอาหารอินเดียในประเทศนั้น เท่าที่พบเจอจะมีในจังหวัดกรุงเทพฯ ย่านค้าขายของคนอินเดียชื่อย่านพาหุรัด มีอาหารอินเดียทั้งคาวหวานมากมายจำหน่าย 

ในส่วนของภูมิภาคอื่นนอกเหนือจากกรุงเทพฯ ถ้าอยากรับประทานอาหารอินเดีย ก็ค่อนข้างจะหารับประทานยากพอสมควร วันนี้เว็บไซต์ mykitchencook ได้รวบรวมวัตถุดิบ ขั้นตอนวิธีการทำ ไปตลอดจนถึงวิธีการรับประทานขนมอินเดียปานีปูรีเพื่อเป็นประโยชน์ของผู้ที่ต้องการสัมผัสรสชาติแปลกใหม่ของขนมอินเดีย

วัตถุดิบ ขั้นตอนวิธีการทำ วิธีการรับประทานเมนูอาหารอินเดียปานีปูรี 

อาหารอินเดียปานีปูรีจะมีหลายส่วนประกอบ ได้แก่ส่วนของแป้งปานีปูรี ไส้มันฝรั่ง น้ำซอสมะขาม น้ำราดปานีปูรี ส่วนของแป้งกรอบบูนดี้ และมีส่วนของเครื่องเคียงปานีปูรี 

วัตถุดิบและขั้นตอนการทำแป้งปานีปูรี

  1. แป้งซูจี 3 ช้อนโต๊ะ
  2. เกลือป่น 1 ช้อนชา
  3. แป้งสาลี 3/4 ถ้วยตวง
  4. น้ำที่มีความเย็น 120 มล.
  5. น้ำมันพืชสำหรับทอด 1000 มล.

ขั้นตอนการทำแป้งปานีปูรี

  1. ร่อนแป้งสาลี แป้งซูจี และเกลือลงในภาชนะ จากนั้นใช้น้ำเย็นจัดค่อยทยอยหยอดลงในแป้ง แล้วนวดไปเรื่อย ๆ จนเป็นก้อนหนึบเหนียว
  2. จากนั้นให้รีดแป้งแผ่นบางด้วยไม้รีดแป้ง แล้วใช้พิมพ์วงกลมตามขนาดที่ต้องการกดลงในแป้ง 
  3. จากนั้นให้พักแป้งไว้ 40 – 50 นาทีโดยใช้ผ้าสะอาด หรือผ้าขาวบางคลุมไว้
  4. เมื่อพักแป้งได้ที่ตามเวลาที่กำหนดไว้ ให้ตั้งกระทะปรับระดับไฟอ่อน ใส่น้ำมันในปริมาณที่เยอะ และน้ำมันร้อนจัดสุด ๆ (ไฟอ่อน) จึงจะใส่แป้งปานีปูรีลงไปทอด ถ้าน้ำมันไม่ร้อนจะไม่ฟู (หัวใจของการกินอาหารอินเดียเมนูขนมปารีปูนี แป้งต้องกรอบ)

วัตถุดิบทำไส้มันฝรั่งปานีปุรี

  1. มันฝรั่งนึ่งแล้วบดให้ละเอียด 3 ผล
  2. หอมแดงซอยละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
  3. ผงยี่หร่า 2 ช้อนชา
  4. ผงลูกผักชี 2 ช้อนชา
  5. พริกป่น 3 ช้อนชา (ถ้าชอบรสเผ็ดก็ใส่เพิ่ม)

ขั้นตอนการทำไส้มันฝรั่ง

ใส่มันฝรั่งลงในภาชนะ แล้วใส่ส่วนผสม หอมแดงซอย ผงยี่หร่า ผงลูกผักชี พริกป่น ใส่ทุกอย่างลงไป แล้วคลุกเคล้าทุกอย่างให้เข้ากัน เป็นอันเสร็จกาทำไส้มันฝรั่ง

วัตถุดิบการทำซอสมะขามปานีปูรี

  1. น้ำมะขามเปียกคั้น 200 มล. (เมนูอาหารอินเดียปานีปูรีขาดวัตถุดิบมะขามเปียกไม่ได้)
  2. น้ำตาลทราย 7 ช้อนโต๊ะ
  3. ผงยี่หร่า 1 ช้อนชา
  4. ผงลูกผักชี 1 ช้อนชา
  5. พริกป่น 2 ช้อนชา

ขั้นตอนการทำซอสมะขามปานีปูรี

ตั้งกระทะบนเตา ปรับไฟระดับอ่อน ใส่น้ำมะขามเปียก น้ำตาลทราย ผงยี่หร่า ผงลูกผักชี พริกป่น จากนั้นเคี่ยวให้ส่วนผสมทุกอย่างเข้ากัน บกลงตักใส่ภาชนะ

วัตถุดิบน้ำราดปานีปูรี

  1. พริกสดเม็ดใหญ่ 5 เม็ด
  2. ผักชีซอย 1 ต้น
  3. น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ 
  4. น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ 
  5. ขิงหั่นชิ้น 2 ชิ้น 
  6. ผงลูกผักชี 1 ช้อนชา
  7. ใบสะระแหน่ 1 ถ้วยตวง
  8. ผงยี่หร่า 2 ช้อนชา
  9. เกลือ 2 ช้อนชา 
  10. น้ำสะอาด 400 มล.

ขั้นตอนการทำน้ำราดปานีปูรี

เตรียมเครื่องปั่นให้พร้อม ใส่น้ำสะอาด และส่วนผสมทุกอย่างลงไปได้แก่ พริกเม็ดใหญ่ ใบสาระแหน่ ผักชี มะนาว น้ำตาลทราย ผงยี่หร่า ผงลูกผักชี เกลือป่น ขิงหั่น แล้วปั่นจนส่วนผสมละเอียด เทมส่ภาชนะ 

วัตถุดิบแป้งกรอบบูนดี้

  1. แป้งสาลี 2 ช้อนโต๊ะ
  2. แป้งเบซัน 3 ช้อนโต๊ะ
  3. น้ำเย็น 100 มล.
  4. ตั้งเตาใช้ระดับไฟอ่อน ใส่น้ำมันในกระทะ ตั้งจนกระทะร้อนจัด
  5. ใช้แป้งเหลวที่ผสมไว้ร่อนผ่านกระชอนให้กระจายเป็นเม็ด 
  6. ใช้เวลาทอดไม่นาน ใช้กระชอนตักขึ้นมาพักให้สะเด็ดน้ำมัน

เครื่องเคียงเพิ่มรสชาติของขนมปานีปูรี

  1. หอมแดงซอยละเอียด
  2. พริกจินดาซอยละเอียด 

วิธีการรับประทานขนมปานีปูรี

การกินอาหารอินเดียนั้น มีองค์ประกอบ ได้แก่น้ำแป้งปานีปูรีที่เป็นรูปวงกลมเจาะรูด้านบน จากนั้นใส่ไส้มันบด ใส่แป้งกรอบบูนดี้ ใส่ซอสมะขาม ราดด้วยน้ำปานีปูรี ใส่พริกจินดาซอย หอมแดงซอย 

จากนั้นอ้าปากให้กว้างที่สุดใส่ก้อนปานีปูรีเข้าไปไปทีเดียวทั้งชิ้น เหตุผลที่ต้องใส่ไปทั้งชิ้นเพราะถ้ากัดทีละครึ่งคำน้ำซอสมะขาม และน้ำปานีปูรีจะหกเลอะเปื้อนทำให้ขาดอรรถรสในการรับประทานมาก รสชาติจะกลมกล่อมมีความกรอบของแป้ง ผสมความมันของไส้มันบด และความเปรี้ยวซ่าของซอสมะขาม และน้ำราดปานีปูรี 

Categories
อาหารนานาชาติ

สปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศหมูสับ เมนูอาหารเช้าทำง่ายในช่วงเวลาเร่งด่วน

mychencook.com

อาหารเช้าเป็นอาหารมื้อที่สำคัญที่สุดของทุกวัน เพราะเป็นแหล่งเติมพลังในร่างกายของเรานั้นมีเรี่ยวมีแรงมีพลังงานในการออกไปต่อสู้ฟันฝ่าทำกิจกรรมนอกบ้านต่าง ๆ มากมาย ในผู้ใหญ่ก็ออกไปทำงาน ในเด็กก็ต้องออกไปใช้พลังในการเรียน 

อาหารมื้อเช้าของแต่ละชนชาติเชื้อชาติจะต่างกัน คนเอเชียส่วนใหญ่ก็รับประทานข้าวเป็นหลัก ส่วนคนในแถบยุโรปจะเน้นเมนูอาหารเช้า เป็นการรับประทานขนมปัง ไข่ ไส้กรอก แพนเค้ก สปาเก็ตตี้ โดยจะเน้นเนื้อนมไข่ ไม่นิยมรับประทานข้าวสวยแบบคนเอเชีย 

ขอบคุณภาพจาก pixabay
ขอบคุณภาพจาก pixabay

ซึ่งคนเอเชียก็อาจจะไม่ค่อยคุ้นชินกับเมนูอาหารเช้าของคนฝั่งตะวันตกเท่าไรนัก เว็บไซต์ mykitchencook จึงได้จัดทำเมนูอาหารของฝั่งตะวันได้แก่เมนูสปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศหมูสับ สำหรับคนที่สนใจเรียนรู้ โดยเว็บไซต์นำเสนอตั้งแต่ข้อมูลของวัตถุดิบ ไปจนถึงเคล็ดลับในการทำเมนูนี้ให้มีความอร่อยเหมือนต้นตำรับกันเลยทีเดียว

วัตถุดิบที่ใช้ในการทำเมนูสปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศหมูสับ

  1. เส้นสปาเก็ตตี้ 400 กรัม (อาหารเช้าผัดสปาเก็ตตี้สามารถเลือกใช้เส้นแบบอื่นได้ตามชอบ)
  2. น้ำสะอาด 900 – 1,000 มล.(สำหรับต้มเส้นสปาเก็ตตี้)
  3. น้ำมันพืช 4 ช้อนโต๊ะ
  4. หมูสับ 1/2 ถ้วย
  5. ซอสพริก 1 ช้อนโต๊ะ
  6. ซอสมะเขือเทศ 7 ช้อนโต๊ะ (ขาดไม่ได้สำหรับเมนูอาหารเช้าแบบฝรั่ง)
  7. น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
  8. น้ำปลา 2 ช้อนชา
  9. ซีอิ้วดำ 1 ช้อนชา
  10. เกลื่อป่น 2 ช้อนชา
  11. พริกไทย 2 ช้อนชา 
  12. กระเทียมซอยละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
  13. ซีอิ้วขาว 1 ช้อนชา
  14. น้ำแข็ง (สำหรับเตรียมไว้แช่เส้นสปาเก็ตตี้)
ขอบคุณภาพจาก pixabay
ขอบคุณภาพจาก pixabay

ขั้นตอน และวิธีการทำเมนูผัดสปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศหมูสับ 

  1. เริ่มต้นการทำเมนูอาหารเช้าเองแบบไม่ยาก โดยการใส่น้ำสะอาด ใส่น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ และเกลือป่นเล็กน้อย ลงในภาชนะหม้อ จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดขึ้นตั้งบนเตาเปิดไฟระดับกลาง รอจนน้ำเดือด จากนั้นใส่เส้นสปาเก็ตตี้ลงไป แล้วเริ่มจับเวลา โดยนับตั้งแต่เวลาใส่เส้นลงในน้ำใช้เวลาในการต้ม 9 นาที จะได้เส้นสปาเก็ตตี้ที่มีความสุกพอดี แต่ถ้าใครทำเมนูอาหารเช้าแบบฝรั่งสำหรับคนสูงอายุ ชอบให้เส้นนิ่มสามารถเพิ่มเวลาเป็น 10 -11 นาที (ไม่ควรต้มในขั้นตอนนี้ให้เส้นแฉะเกินไป เพราะเราต้องนำเส้นสปาเก็ตตี้ไปผัดอีก 1 รอบ )
  2. เมื่อต้มเส้นสปาเก็ตตี้ครบตามเวลาที่เราได้ตั้งไว้ ให้เตรียมน้ำสะอาดใส่น้ำแข็งไว้ จากนั้นใช้ตะแกรงช้อนเส้นสปาเก็ตตี้ขึ้นขากหม้อ แล้วเขย่านิดหน่อยให้สะเด็ดน้ำ จากนั้นเทลงน้ำสะอาดผสมน้ำแข็งเพื่อช่วยให้เส้นเหนียมนุ่มอร่อย 
  3. จากนั้นใช้ตะแกรงช้อนเส้นสปาเก็ตตี้ขึ้นมาไว้ในภาชนะว่างเปล่าอีกใบ จากนั้นให้ใส่น้ำมันพืชลงไปในเส้นสปาเก็ตตี้ แล้วใช้อุปกรณ์คีบคลุกเคล้าผสมให้เส้นไม่จับตัวติดกัน 
  4. ตั้งกระทะใบใหญ่ใส่น้ำมันพืชลงไป 2 ช้อนโต๊ะ เปิดไฟระดับกลาง เมื่อน้ำมันร้อนใส่กระเทียมซอยลงไปผัดจนหอม จากนั้นใส่หมูสับลงไปผัด (ขั้นตอนนี้ใช้เวลาไม่นาน ถ้าผัดนานเนื้อหมูจะกระด้างแข็ง)
  5. ใส่ซอสพริก ซอสมะเขือเทศ เกลือป่น น้ำปลา ซีอิ้วดำ ซีอิ้วขาว ผัดจนเครื่องปรุงทุกอย่างซึมเข้าเนื้อหมูสับ
  6. จากนั้นให้ใส่เส้นสปาเก็ตตี้ที่ได้เตรียมไว้แล้วลงไปผัดคลุกเคล้า จากนั้นปรุงรสด้วยพริกไทย น้ำตาลทราย แล้วผัดต่ออีกนิดหน่อย เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนของเมนูอาหารเช้าสปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศหมูสับ 
ขอบคุณภาพจาก pixabay
ขอบคุณภาพจาก pixabay

เคล็ดลับในการทำเมนูสปาเก็ตตี้ผัดซอสมะเขือเทศหมูสับ

  1. หัวใจที่สำคัญที่สุดของการทำเมนูอาหารเช้าแบบฝรั่งคือการลวกเส้นสปาเก็ตตี้ เส้นจะเหนียวนุ่มอร่อย เส้นสปาเก็ตตี้จะติดกันเป็นก้อนหรือไม่ขึ้นอยู่กับวิธีการลวกเส้นเป็นสิ่งสำคัญมาก มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องจับเวลาในการลวกเส้นโดยมาตรฐานสากลแล้วจะใช้เวลาลวกอยู่ที่ 9 นาทีเท่านั้น เส้นที่ได้จะค่อนข้างมีความแข็งนิดหน่อย แต่เมื่อนำเส้นสปาเก็ตตี้ไปผัดอีกรอบหนึ่งกับหมูสับ เส้นที่ได้จะพอดี มีความเหนียวนุ่ม ไม่แฉะจนเกินไป 
  2. การใส่น้ำมันพืช และเกลือในขั้นตอนของการต้มเส้นสปาเก็ตตี้นั้น จะช่วยให้เส้นมีความวาว เส้นไม่แห้ง เส้นมีความชุ่มชื้นดูน่ารับประทาน 
  3. การใช้น้ำแข็งในการแช่เส้นสปาเก็ตตี้นั้นมีความสำคัญมาก ช่วยให้เส้นนั้นนุ่ม เวลาเคี้ยวจะให้ความรู้สึกว่าเส้นสปาเก็ตตี้เด้งสู้ และการใส่น้ำมันพืชนั้นช่วยให้เส้นไม่ติดกันเป็นก้อน ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของเส้นไม่ให้แข็งกระด้าง 
Categories
อาหารญี่ปุ่น อาหารนานาชาติ

อาหารญี่ปุ่น ซูชิมากิ เสน่ห์ความอร่อยที่คนทั่วโลก ยกนิ้วให้

อาหารญี่ปุ่นนั้นโด่งดังไปทั่วทุกมุมโลก ไม่เว้นแม้แต่ชาติตะวันตกเองก็ยังหลงใหลในอาหารญี่ปุ่น ไม่เพียงแต่รสชาติความมีเอกลักษณ์ในอาหารเท่านั้น ขั้นตอนวิธีการทำนั้นพิถีพิถันตั้งแต่ขั้นตอนของการเลือกวัตถุดิบ ไปจนถึงขั้นตอนในการรับประทาน ทุกขั้นตอนนั้นร่วมเต็มไปด้วยศาสตร์ และศิลป์ ทำให้อาหารญี่ปุ่นนั้นเป็นอาหารที่มีมูลค่าในสายตาของคนทั่วโลก

อาหารญี่ปุ่นนั้นมีเมนูยอดนิยมหลายเมนู แต่เมนูที่โด่งดังมาก คนทั่วโลกรวมถึงคนไทยนั้นรู้จักเป็นอย่างดีนั่นก็คือเมนูซูชินั้นเอง ไม่เพียงแต่รู้จักเท่านั้น คนไทยยังชื่นชอบ และนิยมรับประทานอาหารญี่ปุ่น เมนูซูชิกันอย่างมาก เว็บไซต์ mykitchencook จึงรวบรวมข้อมูลการทำซูชิมากิตั้งแต่เริ่มต้น และขั้นตอนในการทำซูชิเพื่อเป็นประโยชน์กับผู้ที่สนใจ และต่อยอดทำเป็นอาชีพ

ขอบคุณภาพจาก pixabay

วัตถุดิบในการทำเมนูซูชิมากิ

  1. ข้าวญี่ปุ่น 3 ถ้วย
  2. น้ำสะอาด 300 มล.
  3. น้ำส้มสายชูที่ทำมาจากข้าวหมัก 6 ช้อนโต๊ะ
  4. น้ำตาลตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
  5. แตงกวาญี่ปุ่นน 1 ลูก
  6. สาหร่ายแผ่นใหญ่ 2 แผ่น
  7. ผงดาชิ 2 ช้อนโต๊ะ
  8. น้ำมิริน 2 ช้อนโต๊ะ
  9. โชยุ 2 ช้อนโต๊ะ
  10. แครอทหั่นแนวยาว 1/2 ลูก
  11. ไข่หวานสำเร็จรูป 1 แท่ง
  12. เห็ดหอมแห้ง 1 ถ้วยตวง
  13. ซอสมายองเนส 1 ถ้วยตวง

ขั้นตอนการทำเมนูอาหารญี่ปุ่นซูชิมากิ

  1. ขั้นตอนแรกในการทำเมนูอาหารญี่ปุ่น ซูชิมากิ เริ่มต้นโดยการนำข้าวญี่ปุ่นมาล้างทำความสะอาด 3 – 4 ครั้ง จากนั้นแช่ข้าวญี่ปุ่นไว้น้ำสะอาด 30 นาที
  2. เมื่อนำข้าวญี่ปุ่นแช่น้ำครบ 30 นาทีแล้วให้รินน้ำออก แล้วทำการเปลี่ยนน้ำใหม่ จากนั้นใช้วิธีการหุงข้าวบนเตาโดยใช้ไฟระดับกลางเป็นเวลา 30 นาที เมื่อข้าวญี่ปุ่นได้ที่แล้วให้ปรับระดับไฟแรงขึ้น จากนั้นให้ปิดไฟ และปิดฝาหม้อข้าวญี่ปุ่นเพื่อให้ความร้อนระอุกระจายทั่วทั้งหม้อข้าว
  3. วิธีการทำน้ำปรุงข้าว ข้าวที่ใช้ในการทำซูชิรสชาติจะไม่กลมกล่อมถ้าไม่ใส่น้ำปรุง ขั้นตอนนี้สำคัญมาก กรทำน้ำปรุงนั้นก็ไม่ซับซ้อน สามารถทำง่าย ๆ โดยการใส่น้ำส้มสายชู เกลือ น้ำตาลทราย จากนั้นผสมส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากัน ทิ้งไว้จนเย็น เมื่อข้าวญี่ปุ่นเย็นให้นำมาคลุกกับข้าวญี่ปุ่นโดยค่อยเทใส่ข้าวทีละน้อย เมื่อผสมเสร็จวางข้าวพักไว้ในภาชนะ
ขอบคุณภาพจาก pixabay
  1. จากนั้นเพิ่มอรรถรสให้กับส่วนผสมของเมนูอาหารญี่ปุ่น<ซูชิมากิโดยการต้มน้ำซุปดาชิ โดยการใส่น้ำสะอาดลงไปในหม้อ เปิดไฟระดับกลาง จากนั้นรอให้น้ำเดือด ใส่ผงดาชิ น้ำมิริน และโชยุลงไป จากนั้นนำแคอทลงไปต้มจนสุก
  2. ยังไม่ต้องปิดไฟ ทำการผัดเห็ดหอมต่อ โดยการเทน้ำซุปดาชิที่เหลือออกเล็กน้อย เพิ่มโชยุ น้ำมิรินลงไป น้ำเห็ดหอมลงไปผัดจนเหนียวข้น จากนั้นยกลงพักไว้ให้เย็น
  3. เมื่อเตรียมส่วนผสมทุกอย่างเรียบร้อยแล้วให้ทำการปั้นซูชิมากิได้เลย โดยเริ่มจากการเตรียมเสื่อไม้ไผ่ปั้นซูชิ ให้นำถุงพลาสติกมาคลุมไม้ไผ่ไว้ป้องกันเศษอาหารติดที่ซี่ของไม้ และวิธีนี้ทำให้อายุของการใช้งานเสื่อไม้ไผ่ได้นาน
  4. จากนั้นเริ่มต้นการห่ออาหารญี่ปุ่น ซูชิมากิโดยการวางสาหร่ายแผ่นใหญ่ ตามด้วยข้าวญี่ปุ่น แตงกวา แครอท ไข่หวาน ผัดเห็ดหอม ราดด้วยมายองเนส วางเรียงกันให้สวยงามจากนั้นทำการม้วนให้แน่น แล้วใช้มีดที่มีความคมตัดให้มีความสวยงาม

เคล็ดลับการทำซูชิมากิให้อร่อยน่ารับประทาน

จะว่าไปแล้วเมนูซูชิมากินั้นค่อนข้างต้องใส่ใจรายละเอียดทุกขั้นตอน แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดหรือเรียกว่าเป็นหัวใจในการทำซูวิมากิเลยก็ว่าได้นั้นก็คือการหุงข้าวญี่ปุ่น เพราะถ้าไม่มีเคล็ดลับในการหุงข้าวญี่ปุ่น ข้าวก็จะไม่พอดี แฉะไปบ้าง ร่วนไปบ้าง เมื่อนำมาปั้นเป็นซูชิก็จะได้รูปทรงไม่ดี

ขอบคุณภาพจาก pixabay

ไอเดียในการต่อยอดจากการเรียนรูการทำซูชิมากิ

เมื่อฝึกฝนจนเก่งแล้ว สามารถเปิดร้านเมนูอาหารญี่ปุ่นซูชิเป็นของตัวเอง หรือเริ่มต้นจำหน่ายจากช่องทางออนไลน์ก่อนได้เพื่อเป็นการประหยัดต้นทุน สามารถสร้างรายได้เสริมได้เพราะคนไทยนิยมรับประทานซูชิกันมาก

ใส่ความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาต่อยอดคิดรูปแบบซูชิในแบบต่าง ๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าจากนั้นก็สามารถเปิดสอนการทำซูชิออนไลน์ให้กับคนที่สนใจเรียนได้ วิธีนี้สามารถสร้างรายได้ต่อเนื่อง และยั่งยืน

Categories
อาหารนานาชาติ

เมนูอาหารซุปกิมจิ เมนูยอดฮิตที่สาวกเกาหลีพลาดไม่ได้

อาหารเกาหลีนั้น เป็นอาหารประจำชาติของประเทศเกาหลี เมื่อเรานึกถึงประเทศเกาหลี เมนูภาพจำที่ผุดขึ้นมาโดยที่เราไม่ต้องคิดเลยนั่นก็คือเมนูผักดองกิมจิ เป็นการถนอมอาหารรูปแบบหนึ่งของอาหารเกาหลี สามารถเก็บกิมจินี้ไว้รับประทานได้นานแรมเดือน
อีกทั้งยังสามารถนำผัดกิมจินี้ไปทำเมนูอาหารต่าง ๆ ได้มากมายหลายสิบเมนู และเมนูที่คนนิยมนำกิมจิไปทำมากเมนูหนึ่งเลยนั่นก็คือเมนูซุปกิมจิ เว็บไซต์ mykitchencook ได้รวบรวมข้อมูลตั้งแต่วิธีการดองผักกิมจิ ไปจนถึงขั้นตอนการทำซุปกิมจิ เพื่อเป็นประโยชน์กับคนที่สนใจเรียนรู้ในการทำอาหารเกาหลี

ขอบคุณภาพจาก pixabay

วัตถุดิบ และขั้นตอนในการทำผักดองกิมจิเมนู อาหารแบบเกาหลีต้นตำรับ

วัตถุดิบสำหรับการดองผักกิมจิ

ผักกิมจินั้นเมื่อดองเสร็จเรียบร้อย 3 – 4 วันก็จะสามารถนำไปทำเป็นเมนูอาหารซุปกิมจิได้

  1. ผักกาดขาว 1 หัว
  2. เกลือป่น 2 – 3ช้อนโต๊ะ
  3. น้ำสะอาด 300 มล.
  4. แป้งข้าวเหนียว 1 ช้อนโต๊ะ
  5. น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
  6. หัวหอมใหญ่ 3/4 ถ้วยตวง
  7. กระเทียมกลีบใหญ่ 3/4 ถ้วยตวง
  8. แครอทหั่น 1/2 หัว
  9. หัวไชเท้าหั่น 1 หัว
  10. น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
  11. ต้นหอมหั่นยาว 1 ถ้วยตวง
  12. พริกเกาหลีป่น 1.5 ถ้วยตวง
  13. ขิงหั่น 1ช้อนโต๊ะ
  14. เนื้อปลาหมึกสดสับละเอียด 1/2 ถ้วยตวง (สามารถใช้กุ้งฝอยแทนได้) เมื่อนำกิมจิไปทำเมนูอาหารต้มจะให้รสชาติของความเป็นทะเล อาหารทะเล

ขั้นตอนในการดองผักกิมจิ

  1. ล้างทำความสะอาดผักกาดขาวให้สะอาด ไม่มีสิ่งสกปรก ฝุ่น (เป็นขั้นตอนที่สำคัญมากของเมนูอาหารชนิดนี้)
  2. ใช้มีดหั่นโคนออกเล็กน้อยอย่าให้ใบผักกาดขาวหลุดจากขั้ว
  3. ใช้มีดผ่าตรงเฉพาะส่วนโคนให้เป็นแนวทะแยกมุม 2 แฉก แล้วค่อย ๆ ฉีกผักกาดขาวออกตามแนวมีด เพราะจะทำให้เครื่องต่าง ๆ ที่ใช้ในการดองซึมเข้าเนื้อผักง่ายกว่าการใช้มีดตัด
  4. จากนั้นนำเกลือป่นมาทาทุกส่วนของผักกาดขาว จากนั้นทำการพลิกบนพลิกล่างทุก 40 นาที เป็นเวลา 4 ครั้ง จากนั้นนำมาล้างน้ำสะอาด 3 – 4 ครั้งเพื่อเอาความเค็มออกให้ได้สัก 70 เปอร์เซ็น ขั้นตอนนี้สำคัญมาก ถ้าผักมีความเค็มมากเมื่อนำกิมจิไปทำเมนูอาหารต้ม ซุปกิมจิจะรสชาติขมไม่อร่อย)
  5. วีธีการทำน้ำดองผัก น้ำภาชนะตั้งไฟเปิดไฟอ่อน ใส่แป้งข้าวเหนียว น้ำตาลทราย จนส่วนผสมทุกอย่างละลายเข้ากัน ยกลงกรองด้วยผ้าขาวบางหรือตะแกรงอีก 1 ครั้ง
  6. จากนั้นน้ำปลาหมึกสดมาบดรวมกับหัวหอมใหญ่ซอย ขิงหั่น กระเทียม บดจนละเอียด
  7. จากนั้นนำน้ำแป้งข้าวเหนียวที่กรองเสร็จแล้ว มาผสมกับส่วนผสมของวัตถุดิบที่นำมาบด คลุกเคล้าให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกันตั้งพักไว้
  8. ใส่ผักกาดขาวที่ล้างเอาความเค็มออกเเล้วมาใส่ในน้ำดองที่เตรียมไว้ ใส่แครอท หัวไชเท้า หอมใหญ่หั่นลงไป เติมสีสัน เพิ่มความเผ็ดให้เมนูอาหารนี้ด้วยการใส่พริกเกาหลี ตามด้วยน้ำปลา
  9. ใช้ช้อน หรือใส่ถุงมือคลุกเคล้าส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากัน จากนั้นตกใส่กล่อง นำไปแช่ไว้ในตู้เย็น ก่อนที่จะนำผักดองมาทำซุปกิมจิ ต้องดองอย่างน้อย 3 – 4 วัน
ขอบคุณภาพจาก pixabay

วัตถุดิบ การทำเมนูซุปกิมจิ

  1. น้ำ และเนื้อกิมจิ 400 กรัม
  2. น้ำซุปกระดูกหมู 400 กรัม
  3. กระดูกหมู 4 ชิ้น
  4. เต้าหู้ขาวหั่น 1 แผ่น
  5. ซีอิ้วขาว 2 ช้อนชา
  6. น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
  7. เกลือป่น 2 ช้อนชา
  8. ต้นหอมหั่น 1 ถ้วยตวง
  9. หอมใหญ่หั่น 2 หัว
  10. ไข่ไก่ 2 ฟอง
  11. ต้นหอมแต่งหน้า

ขั้นตอนการทำซุปกิมจิ

  1. ซุปกิมจิ เป็นเมนูที่นำผักดองกิมจิมาทำเป็นเมนูอาหารต้ม ตั้งกระทะ ใช้ระดับไฟปานกลาง จากนั้นใสน้ำซุปกระดูกหมู กระดูกหมู น้ำเนื้อกิมจิ ซีอิ้วขาว เกลือป่น หอมใหญ่หั่น ต้นหอมหั่น ตั้งไฟจนเดือด จากนั้นใส่เต้าหู้ขาวลงไป
  2. ใส่เป็นไข่ที่ต้มสุกแล้วก็ได้ หรือจะตอกไข่ดิบใส่เลยก็ได้ แม้แต่ใส่ตอนหลังจากยกหม้อลงจากเตาแล้วก็สามารถทำได้เช่นกัน แล้วแต่ความชอบ
  3. จากนั้นโรยหน้าซุปกิมจิด้วยผักชี
ขอบคุณภาพจาก pixabay

เคล็ดลับในการทำซุปกิมจิให้อร่อยน่ารับประทาน

หัวใจของการทำซุปกิมจิให้น่ารับประทานนั้น อยู่ที่ขั้นตอนของการดองผักกิมจิ การดองผักนั้นไม่ควรดองให้มีรสชาติเค็มจนเกินไป ดังนั้นในขั้นตอนของการล้างน้ำเกลือจากผักกาดขาวออก จึงเป็นขั้นตอนที่ต้องล้างน้ำเกลือออกจนเกือบไม่เหลือความเค็มของผักกาดขาวเลย
เมื่อล้างน้ำเป็นครั้งที่ 3 ควรชิมผักกาดให้มีความเค็มติดปลายลิ้นนิดหน่อย ถ้าชิมแล้วยังมีความเค็มให้ล้างน้ำจนกว่าจะเหลือความเค็มแค่ปลายลิ้นเท่านั้น